สปสช.เพิ่ม ‘คลินิกชุมชนอบอุ่น’ รองรับคนกรุง พร้อมแจงกติกาบริการ30บาทรักษาทุกที่
วันนี้ (2 ตุลาคม 2567) พญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ตามที่ในปีงบประมาณ 2567 มีคลินิกชุมชนอบอุ่นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้ขอยกเลิกสัญญาการเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) จำนวน 30 แห่ง ซึ่งดูแลประชากรผู้มีสิทธิ จำนวน 108,316 คน นั้น ขณะนี้ สปสช. เขต 13 กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ดำเนินการลงทะเบียนหน่วยบริการใหม่ให้กับประชากรดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ มีหน่วยบริการปฐมภูมิ จำนวน 110 แห่ง หน่วยบริการประจำ จำนวน 23 แห่ง และหน่วยบริการรับส่งต่อ จำนวน 16 แห่ง โดยพิจารณาความเหมาะสมตามข้อมูลทะเบียนบ้าน เช่น เลือกหน่วยบริการปฐมภูมิที่อยู่ใกล้ที่สุด จัดสรรผู้มีสิทธิบัตรทองในครอบครัวเดียวกันไปรับบริการที่หน่วยบริการปฐมภูมิเดียวกัน การปรับเกลี่ยผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่คำนึงถึงภาระหน่วยบริการ เป็นต้น
ทั้งนี้ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ในจำนวนคลินิกชุมชนอบอุ่นที่ขอยกเลิกสัญญาฯ ข้างต้นนี้ มี 18 แห่ง ที่ขอร่วมเป็นหน่วยบริการนวัตกรรมในระบบฯ หรือเป็นคลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่นแทน และมี 14 แห่ง ที่ได้สิ้นสุดสัญญาการเป็นหน่วยบริการกับ สปสช. เมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนส่วนหนึ่งที่เข้ารับบริการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา เกิดปัญหาติดขัดต่างๆ ในการเข้ารับบริการและโทรศัพท์ร้องเรียนสายด่วน สปสช.1330 ส่วนใหญ่เป็นกรณีถูกปฏิเสธการส่งตัวทั้งที่เคยได้รับการส่งตัวแล้ว หรือถูกปฏิเสธการรักษาจากโรงพยาบาลรับส่งต่อ เป็นต้น
พญ.ลลิตยา กล่าวว่า สายด่วน สปสช.1330 ได้เร่งประสานกับหน่วยบริการในการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นแล้ว และเพื่อให้การดำเนินการของหน่วยบริการไปในทิศทางเดียวกัน สปสช.ได้ส่งหนังสือซักซ้อมความเข้าใจแนวทางการให้บริการผู้ป่วยนอกกรณีคลินิกชุมชนอบอุ่นลาออกจากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไปยังหน่วยบริการใน กรุงเทพฯ ทุกแห่ง ทั้งศูนย์บริการสาธารณสุข โรงพยาบาลสังกัดหน่วยงานต่างๆ รวมถึงโรงเรียนแพทย์ เพื่อขอความร่วมมือในแนวทางการให้บริการ ไม่ให้มีผลกระทบต่อการรับบริการของประชาชน ดังนี้
1.กรณีประชาชนมีใบส่งตัวเดิมและยังไม่หมดอายุในวันที่เข้ารับบริการ ซึ่งเป็นการส่งต่อจากหน่วยบริการปฐมภูมิต้นสังกัดแห่งเดิม ขอให้หน่วยบริการที่ระบุในใบส่งตัวให้บริการแก่ผู้มีสิทธิ โดยไม่ต้องให้ผู้มีสิทธิกลับไปขอใบส่งตัวจากหน่วยบริการปฐมภูมิตันสังกัดแห่งใหม่ และให้ใช้เลขใบส่งตัวเดิมในการเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการ ทั้งนี้ ขอความร่วมมือหน่วยบริการที่รักษาสรุปประวัติการรักษาและทำความเข้าใจกับผู้มีสิทธิ ให้กลับไปรับบริการหน่วยปฐมภูมิแห่งใหม่ เพื่อพิจารณาการรักษาหรือส่งต่อกรณีเกินศักยภาพ
2.กรณีประชาชนไม่มีใบส่งตัว ให้หน่วยบริการพิจารณาให้ผู้รับบริการใช้สิทธิอุบัติเหตุ/ฉุกเฉิน (OPAE) หรือเหตุสมควร (OP Anywhere) ตามแต่กรณี โดยไม่ต้องกลับไปขอรับใบใบส่งตัว
3.ขอความร่วมมือหน่วยบริการปฐมภูมิต้นสังกัดแห่งเดิม จัดเตรียมประวัติการรักษาให้ผู้มีสิทธิ เพื่อใช้ประกอบในการรักษาสำหรับหน่วยบริการปฐมภูมิต้นสังกัดแห่งใหม่
“นอกจากนี้ สปสช. ยังอยู่ระหว่างการหารือเพิ่มเติม เพื่อจัดสรรประชากรที่ไม่ตรงกับหน่วยบริการรับส่งต่อเดิม ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นข้อร้องเรียนของประชาชน เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ต่อเนื่องยังโรงพยาบาลรับส่งต่อเดิม อย่างไรก็ดี เบื้องต้นอาจต้องพิจารณาเป็นรายกรณีเร่งด่วนก่อน” พญ.ลลิตยา กล่าวเและว่า ส่วนที่มีคลินิกชุมชนอบอุ่นเตรียมร้องเรียน เนื่องจากยังไม่ได้รับเงินชดเชยค่าบริการในปีงบประมาณ 2567 จาก สปสช.นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลความถูกต้องของการเบิกจ่าย ซึ่งคลินิกชุมชนอบอุ่นได้เร่งดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เมื่อคลินิกฯ ตรวจสอบแล้วเสร็จ สปสช.ก็จะเตรียมนำเสนอต่อ อปสข.เขต 13 กทม. เพื่อเห็นชอบต่อไป โดยมีงบประมาณรองรับในส่วนนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงคลินิกชุมชนอบอุ่นตรวจสอบข้อมูลความถูกต้องของการเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จเท่านั้น
รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า จากการลาออกของคลินิกชุมชนอบอุ่นในขณะนี้ สปสช.ได้เพิ่มคลินิกเอกชนเข้ามาเป็นคลินิกชุมชนอบอุ่นเพิ่มเติม ซึ่งได้สมัครขึ้นทะเบียนในระบบกับ สปสช.แล้ว เพื่อรองรับการให้บริการประชาชน และจากนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่จะเพิ่มศูนย์บริการสาธารณสุขในกรุงเทพฯ จำนวน 500 แห่ง ก็จะเป็นส่วนสำคัญในการเสริมความเข้มแข็งของระบบบริการสุขภาพในระดับปฐมภูมิเพื่อรองรับการให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่