ตามแฟนเพจฟุตบอลต่าง ๆ เริ่มทยอยปล่อยรูปการฝึกซ้อมของเหล่านักเตะทีมชาติไทยชุดลุยฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกให้ชมกันบ้างแล้ว ซึ่งภาพที่สะดุดตาที่สุดคงหนีไม่พ้นการซ้อมผู้รักษาประตู ซึ่งเราจะได้เห็น กัมพล, ปฏิวัติ และ สรานนท์ สวมแว่นตาดำลงซ้อมพุ่งรับลูกฟุตบอลกับลูกเทนนิสสลับกันไป อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้ใส่เพื่อแอ๊กหล่อ แถมแว่นที่ใส่นั้นก็ไม่ใช่แว่นกันแดดที่วางขายตามท้องตลาดอีกด้วย แว่นที่ว่านี้คืออะไร แล้วทำไมทีมชาติไทยต้องนำมาใช้ซ้อมก่อนศึกฟุตบอลโลก ร่วมไขข้อสงสัยไปกับเราที่นี่… พวกเขาใส่อะไร? การสวมแว่นกันแดดสีดำลงซ้อมสำหรับผู้รักษาประตูไม่มีประวัติอย่างชัดเจนว่าใครเป็นผู้คิดค้น และใครเป็นนายทวารคนแรกที่ได้ซ้อมแบบนี้ แต่ครั้งแรกที่มีการพบเทคนิคนี้ถูกพบในการฝึกซ้อมผู้รักษาประตูทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ในศึกฟุตบอล ยูโร 2020 ที่่ผ่านมาไม่กี่ปีนี้ อย่างไรก็ตาม แว่นที่พวกเขาใส่ซ้อมนั้นไม่ได้ทำเพื่อหล่อ แต่เป็นแว่นสำหรับฝึกซ้อมผู้รักษาประตูโดยเฉพาะซึ่งประดิษฐ์โดย ศ.อิชิงากิ ฮิซาโอะ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาวิสัยทัศน์กีฬาในญี่ปุ่น แว่นดังกล่าวผลิตโดยบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติญี่ปุ่น VisionUp โดยมันจะทำหน้าที่รบกวนและลดการมองเห็นของผู้สวมใส่ชั่วคราวด้วยการปิดเลนส์เป็นระยะ มีจุดประสงค์เพื่อฝึกปฏิกิริยาและการมองลูกบอล ซึ่งผู้ผลิตอ้างว่าจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของดวงตาผู้รักษาประตูในสถานการณ์คับขันขณะลงสนาม แว่นตาชนิดนี้ยังสามารถแสดงภาพวัตถุที่เคลื่อนที่เร็วในแบบสโลว์โมชั่นได้ด้วย ซึ่งผู้ผลิตแนะนำให้สวมใส่เป็นเวลา 15 นาทีในระหว่างการฝึกซ้อม โดยอ้างว่าประสิทธิภาพการมองเห็นของผู้สวมใส่มีความชัดเจนมากขึ้นภายใน 8 สัปดาห์ สำหรับแว่นตา VisionUp มีสนนราคาอยู่ที่ 357 ปอนด์ต่อชิ้นหรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 15,830 บาท โดยในกรณีของทีมชาติไทยไม่ทราบว่านักเตะใช้แว่นของแบรนด์นี้หรือเปล่าแต่ที่มั่นใจได้ก็คือ กัมพล, ปฏิวัติ และ สรานนท์ จะได้ประโยชน์จากการฝึกซ้อมครั้งนี้อย่างมหาศาลแน่นอน…

ตามแฟนเพจฟุตบอลต่าง ๆ เริ่มทยอยปล่อยรูปการฝึกซ้อมของเหล่านักเตะทีมชาติไทยชุดลุยฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกให้ชมกันบ้างแล้ว ซึ่งภาพที่สะดุดตาที่สุดคงหนีไม่พ้นการซ้อมผู้รักษาประตู ซึ่งเราจะได้เห็น กัมพล, ปฏิวัติ และ สรานนท์ สวมแว่นตาดำลงซ้อมพุ่งรับลูกฟุตบอลกับลูกเทนนิสสลับกันไป อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้ใส่เพื่อแอ๊กหล่อ แถมแว่นที่ใส่นั้นก็ไม่ใช่แว่นกันแดดที่วางขายตามท้องตลาดอีกด้วย แว่นที่ว่านี้คืออะไร แล้วทำไมทีมชาติไทยต้องนำมาใช้ซ้อมก่อนศึกฟุตบอลโลก ร่วมไขข้อสงสัยไปกับเราที่นี่… พวกเขาใส่อะไร? การสวมแว่นกันแดดสีดำลงซ้อมสำหรับผู้รักษาประตูไม่มีประวัติอย่างชัดเจนว่าใครเป็นผู้คิดค้น และใครเป็นนายทวารคนแรกที่ได้ซ้อมแบบนี้ แต่ครั้งแรกที่มีการพบเทคนิคนี้ถูกพบในการฝึกซ้อมผู้รักษาประตูทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ในศึกฟุตบอล ยูโร 2020 ที่่ผ่านมาไม่กี่ปีนี้ อย่างไรก็ตาม แว่นที่พวกเขาใส่ซ้อมนั้นไม่ได้ทำเพื่อหล่อ แต่เป็นแว่นสำหรับฝึกซ้อมผู้รักษาประตูโดยเฉพาะซึ่งประดิษฐ์โดย ศ.อิชิงากิ ฮิซาโอะ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาวิสัยทัศน์กีฬาในญี่ปุ่น แว่นดังกล่าวผลิตโดยบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติญี่ปุ่น VisionUp โดยมันจะทำหน้าที่รบกวนและลดการมองเห็นของผู้สวมใส่ชั่วคราวด้วยการปิดเลนส์เป็นระยะ มีจุดประสงค์เพื่อฝึกปฏิกิริยาและการมองลูกบอล ซึ่งผู้ผลิตอ้างว่าจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของดวงตาผู้รักษาประตูในสถานการณ์คับขันขณะลงสนาม แว่นตาชนิดนี้ยังสามารถแสดงภาพวัตถุที่เคลื่อนที่เร็วในแบบสโลว์โมชั่นได้ด้วย ซึ่งผู้ผลิตแนะนำให้สวมใส่เป็นเวลา 15 นาทีในระหว่างการฝึกซ้อม โดยอ้างว่าประสิทธิภาพการมองเห็นของผู้สวมใส่มีความชัดเจนมากขึ้นภายใน 8 สัปดาห์ สำหรับแว่นตา VisionUp มีสนนราคาอยู่ที่ 357 ปอนด์ต่อชิ้นหรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 15,830 บาท โดยในกรณีของทีมชาติไทยไม่ทราบว่านักเตะใช้แว่นของแบรนด์นี้หรือเปล่าแต่ที่มั่นใจได้ก็คือ กัมพล, ปฏิวัติ และ สรานนท์ จะได้ประโยชน์จากการฝึกซ้อมครั้งนี้อย่างมหาศาลแน่นอน…

          กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนให้ระวังการรับประทานอาหารและน้ำร่วมกัน หลังพบการระบาดของโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันจากเชื้อโนโรไวรัส ในโรงเรียน พร้อมแนะนำให้ยึดหลัก “กินสุก-ร้อน-สะอาด” ป้องกันการเจ็บป่วยด้วยโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ           วันนี้ (10 พฤศจิกายน 2566) นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้โรงเรียนเปิดเทอม เป็นช่วงที่เด็กนักเรียนได้รวมกลุ่มทำกิจกรรม และมีการรับประทานอาหารและน้ำร่วมกัน หากอาหารและน้ำไม่สะอาด ปนเปื้อนเชื้อก่อโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส พยาธิ ประกอบกับสภาพอากาศที่มีความชื้นและเย็น เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคบางชนิด โดยเฉพาะไวรัส จึงเป็นสาเหตุให้เกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันได้           ข้อมูลจากกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค สถานการณ์โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 ต.ค. 66 พบผู้ป่วยทั่วประเทศ 610,362 ราย…