มีบ้างรับสายให้บอกพิธีกรข่าวเบาๆหน่อยก็ต้องบาลานซ์ ข่าวอยู่ตัวมีเบอร์ใหญ่ บิ๊กช่อง3 เผยขึ้นเป็นช่องละครอันดับ1 ทั่วประเทศแล้วเดือนที่ผ่านมา จดลิขสิทธิ์ พรหมลิขิต ครอบคลุมหมด 18 ตุลา ออนแอร์พร้อม 10 ประเทศ
นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการ สายธุรกิจโทรทัศน์ บริษัท บีอีซีเวิลด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางของช่อง3 ล่าสุดขึ้นเป็นช่องละครอันดับ 1 พร้อมพูดถึงละคร พรหมลิขิต ที่แฟนๆรอคอย ออกอากาศ 18 ตุลาคม นี้ พร้อมกันกับอีก 10 ประเทศ จดลิขสิทธิ์ครอบคลุมทุกสิ่ง หลังตอนบุพเพสันนิวาสมีหลุดไปบ้าง
ตอนนี้ช่อง3 เน้นวาไรตี้ ข่าว หรือละคร?
“เราต้องบอกว่าเราเนี่ยเป็นช่องละคร เราเป็นช่องละครอันดับ1 ของคนกรุงเทพแต่เดือนที่แล้วเนี่ยผมเพิ่งเห็นตัวเลขที่เขาส่งมา บอกว่าช่อง3 เนี่ยเป็นที่1 ของเดือนกันยายน ช่อง7 เป็นที่2 ก็เป็นครั้งแรกที่เราเป็นที่1 ทั่วประเทศ ผมก็คิดว่าแนวโน้มมันดีแล้วอย่างงั้นเพราะว่าเราก็กะว่าเราเป็นช่องอันดับ1 ช่องอันดับ1 เนี่ยเวลาที่ในตลาดมันไม่เงินเหมือนตอนนี้ ถ้าเกิดว่าเราเอาละครที่มันดีคะแนนสะสมมันก็จะเยอะขึ้นๆ
เวลาลูกค้าเขาดูเขาจะไม่ได้ดูแค่ละครเรื่องพรหมลิขิตเรื่องเดียว แต่เขาจะดูเรตติ้งเฉลี่ยสะสมของช่อง ถ้าเราทำคะแนนมาดี ละครเราก็จะมีการซื้อขายเหมือนอย่างสมัยก่อน ละครเรื่องนี้ไม่ค่อยสนุกแต่โฆษณาเต็มเพราะว่าคนเขาใช้ประวัติศาสตร์ของตัวเลขที่ย้อนหลังมาตัดสินการซื้อในวันนี้ ถ้าเรามีละครแย่หลายๆเรื่องเราก็จะลำบากในอนาคตข้างหน้า เพราะว่าคะแนนเฉลี่ยมันก็จะลดลงๆ เหมือนเราสอบเหมือนเราเรียนหนังสือ GPA เราก็จะลดลงเรื่อยๆ ถ้าเกิดคุณได้เกรด D มากกว่า B – A คุณก็จะเรตแย่ลงนี่ก็เมือนกัน ทีวีก็เหมือนกัน
ถามว่าเรื่องของข่าวเราอยู่ตัวแล้วใช่ไหม เรื่องข่าวเราอยู่ตัว แต่เราก็ต้องพัฒนาเนอะ เพราะว่าทุกช่องทำข่าว กฎหมายไม่ได้บังคับให้ทำละคร แต่กฎหมายบังคับให้ทำข่าว เพราะฉะนั้นข่าวก็หยุดไม่ได้ข้อดีของเราก็คือคนไทยเนี่ยเขาดูข่าวจากผู้ประกาศ บังเอิญผู้ประกาศเบอร์ใหญ่ของช่องเราเนี่ยเป็นเบอร์ใหญ่หมด เราก็เลยโอเค ช่วงเช้า ช่วงกลางวัน ช่วงบ่าย ช่วงค่ำ ก็เลยได้เปรียบ ผมคิดว่าเราได้เปรียบ แล้วอีกอย่างหนึ่งบ้านเราข่าวเนี่ยมันไม่เหมือนข่าวทั่วๆ ไป จริงๆ จะบอกไม่เหมือนก็ไม่ได้ อย่างอเมริกาเดี๋ยวนี้ก็เหมือนบ้านเรา ข่าวเลือกข้างช่องเลือกสี ไอ้นี่ไปอยู่ฝั่งรัฐบาลไอ้นั่นไปอยู่ฝั่งอะไรอย่างช่อง3 เราพยายามจะไม่เป็นแบบนั้น แต่ว่าถ้าเราดูหลายๆ ช่อง เราจะเห็นค่อนข้างชัด”
“ก็เหมือนพิธีกรข่าวของเราบางคน ผมก็จะได้รับการโทรศัพท์มาบอกว่า “นี่ต้องบอกให้เค้าเบาๆ หน่อยนะ” มันก็จะมีครับ มันก็จะมีเพราะว่าช่องเราเป็นช่องใหญ่คนดูเยอะ เวลาผู้ประกาศของเราไปอะไรแบบนี้คนก็จะบอกว่าทำไมโปรโมตอันนี้จัง โปรโมตคนนี้จัง โปรโมตพรรคนี้จัง อย่างงี้ครับ มันก็เลยต้องมีบาลานซ์ แต่ว่าข่าวหนึ่งยังไงมันก็เป็นไฮไลต์ เพราะว่ามันเป็นความได้เปรียบ
แล้วก็ละครเนี่ยยังไงก็เป็นอาชีพหลักเรา ส่วนรายการวาไรตี้เนี่ย เป็นสิ่งที่เราต้องเสริมเพราะว่าในอนาคตข้างหน้านี้เวลาเศรษฐกิจไม่ดีรายการวาไรตี้ก็จะอยู่ยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าหาสปอนเซอร์ไม่เข้า รายการวาไรตี้นี่มันเอาเงินสดมาตลอดมันออกได้ครั้งเดียวมันก็หมดแล้ว ละครเนี่ยอีก 5 ปี ข้างหน้าผมก็ขายพรหมลิขิตได้อยู่”
ขอถามเรื่องละครพรหมลิขิต ได้ยินว่าจดลิขสิทธิ์ของพรหมลิขิตทุกอย่าง หมายถึงยังไง?
“จริงๆ แล้วพรsมลิขิต หรือ บุพเพสันนิวาส อะไรทั้งหลายนี้ที่อยู่ในซีรีส์ตรงนี้มันก็จะเป็นการจดทะเบียนเป็นเจ้าของสิทธิ์ IP ที่เราเรียกว่า IP right ทั้งหมดเนี่ยก็จะเป็นของกลุ่ม BEC world ทั้งหมด ก็หมายความว่าปัจจุบันนี้เราไม่ได้ทำทีวีเพื่อที่จะทำละคร แล้วออกอากาศหน้าจออย่างเดียว มันมีหลายอย่างเวลาละครเราฮิตก็จะมีคนมาซื้อลิขสิทธิ์เรา ซื้อ IP เรา เพื่อที่จะไปทำภาพยนตร์โฆษณาผมยกตัวอย่างอีกหน่อยก็อาจจะมีคนมาเอาคุณนักแสดงพระนางของเราอยู่ในชุดที่คนคุ้นเคยในละครอย่างงี้ก็เรียกว่าเสียค่าสิทธิ์ นอกจากคุณไปจ่ายค่าตัวดาราแล้วคุณยังต้องเสียค่า IP หรือ ค่าลิขสิทธิ์ให้กับผมด้วย ค่าคาแร็กเตอร์ด้วย แล้วอีกหน่อยถ้ามันฮิตมันก็จะมีการเตรียมไปทำ สินค้าที่ระลึก พวกสินค้านี้มันก็จะมีเยอะ ซึ่งตอนนี้ก็มีคนติดต่อเข้ามาขอซื้อนู่นขอซื้อนี่ เพื่อที่จะเอาไปทำหมวกทำหมอนทำอะไรมั่งแล้วแต่ เพราะว่าถึงเวลาแป๊บหนึ่ง ผมคิดว่าคนดูก็จะดูละครเรื่องนี้ พอดูละครเรื่องนี้ แป๊บหนึ่งเนี่ยพ่อค้ามันก็จะดูอีกแบบหนึ่ง พ่อค้าก็จะดูว่ามันฟินตรงไหนบ้าง จับตรงไหนเอาไปทำอะไรมั่งที่เป็นโปรดักส์ที่พอจะเอามาทำนี่ได้บ้างใช่มั้ย มันจะมีแบบนี้ออกมาแต่เราก็จะไปจดเป็นทรัพสิทย์ทางปัญญาไว้หมดเลย”
“ถามว่าอะไรเป็นจุดเริ่ม จริงๆ มันเป็นการบริหารทรัพสินย์ของเรา ละคร 1 เรื่องไม่ได้เป็นแค่ตัวละครอย่างเดียว แต่เป็นทั้งตัวคาแร็กเตอร์เป็นทั้งอะไรต่อมิอะไรเราจึงต้องมีวิธีการหาเงินกับเขาให้ได้หลายวิธี”
“ถ้าเราดูหนัง Hollywood เวลาจูราสสิคพาร์คเข้ามาทีหนึ่งก็เข้ามาเต็มเลยทั้งเสื้อผ้า ทั้งผลิตภัณท์มาเต็มเลย แต่ว่าของเราเนี่ยในอนาคตข้างหน้าเราก็ต้องมี แต่ละครในแนวบุพเพสันนิวาสแนวแบบพรหมลิขิตเราทำได้ เรามีบริษัทเอเจนซี่โฆษณา ซึ่งสามารถขโมยซีนใดซีนหนึ่งที่เขารู้เลยว่ามันปัง เพื่อที่จะเอาไปก๊อปเอาไปเป็นโฆษณาอย่างที่เราเห็นกัน เพราะมันโผล่มาแป๊บเดียวคนมันก็มีแบรนด์รีคอลแล้ว ว่าเห้ยไอ้นี่ใช่นี่หว่า เพราะฉะนั้นไอ้เนี่ย คือที่มาของการได้เงิน ซึ่งจะไม่เหมือนกับในอดีต เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องของทรัพย์สินทางปัญญาเนี่ยมีความสำคัญและอีกหน่อยอาจจะมีคนมาขอซื้อสิทธิ์ไปทำบุพเพสันนิวาสพากษ์ 3 เวอร์ชั่นภาพยนตร์อีกก็ได้”
พรหมลิขิตคือเรื่องแรก ที่จดลิขสิทธิ์ที่ครอบคลุมทุกอย่าง?
“ใช่อันนี้เป็นครั้งแรกที่จริงๆแล้ว เรามีการจดทะเบียนตลอด แต่ว่าอันนี้เป็นความพยายามของเราที่จะบริหารสิทธิ์ เพราะว่าผู้บริหารคือสมัยก่อนเวลาธุรกิจเราดีมากเราไม่มองไอ้พวกนี้เลย มันเหมือนเป็นเงินเล็ก แต่ว่าตอนนี้เราเห็นแล้วว่าเศรษฐกิจมันไม่ได้ดีเท่าไหร่ แต่ว่าถ้าเราบริหารทรัพย์สินของเราให้เป็นประโยชน์เราก็อาจจะบาดเจ็บน้อยกว่าคนอื่น เพราะว่าเราดีไซน์บริษัทเรามาดีมันก็เป็นความพยายามถ้าสมมติอีกหน่อยเศรษฐกิจมันดี ไอ้พวกนี้ก็ถือว่าเป็นโบนัสเพราะว่ามันมีเงินเข้ามา”
จริงๆ ลิขสิทธิ์มันครอบคลุมอะไรบ้าง มีกี่ชิ้นกี่อย่าง สามารถจำแนกได้ไหม สามารถอธิบายได้ไหม?
“มันเยอะมากเลยครับ ครอบคลุมตั้งแต่ตัวคาแร็กเตอร์ คอสตูม เอาง่ายๆ แค่คุณแต่งตัวให้คนคิดว่านั่นคือ แม่การะเกด หรือ หมื่นสุนทรเทวา แค่นี้ผมก็สามารถที่จะเอาเรื่องคุณได้แล้ว เพราะว่าผมไปจดทะเบียนเอาไว้แล้วว่าคาแร็กเตอร์แบบนี้ แต่งตัวลักษณะนี้เป็นต้น รวมถึงประโยคในเรื่อง มันก็จะมีประโยคเด็ด พวกนี้ก็เป็นในเรื่องของลิขสิทธิ์ ซึ่งเราสามารถจดไว้ได้ทั้งหมด”
จดลิขสิทธิ์ทั้งหมด?
“ใช่เราจดทั้งหมด เวลาจดเนี่ยมันก็จะมีบอกว่ามันครอบคลุมอะไรบ้าง ถามว่ากลัวมั้ยว่ามันจะมีปัญหาตามมา ยกตัวอย่างอย่างเรื่องปังชา มันอยู่ที่เจตนาครับ ทั้งหมดทั้งมวลก็อยู่ที่เจตนาด้วยว่า แล้วก็อยู่ที่สเกลของคนที่เอาทำด้วย คือถ้าบางคนมันเอาไปทำแล้วมันเล็กๆน้อยๆเราก็คงไม่ใส่ใจไปฟ้องหรอก แต่ถ้าทำเป็นเรื่องเป็นราวเลย ซึ่งปกติแล้วบริษัทใหญ่ๆ เขาไม่เสี่ยงหรอก ยังไงเขาก็จะมาติดต่อกับคนที่เป็นเจ้าของสิทธิ์ ไม่มีใครอยากโดนเจ้าของลิขสิทธิ์ฟ้องหรอก ถ้าใช้ในเชิงพาณิชย์ถูกไหม”
จดลิขสิทธิ์ไว้ทุกอย่าง แต่ไม่ได้จดไว้เก็บ คือถ้าเกิดใครอยากได้ไปใช้ก็ยินดีขาย?
“ก็คือพูดง่ายๆ ไม่ว่าเขาจะเอาไปทำอะไร มันก็คือลิขสิทธิ์ของเราทั้งหมด แต่กับคนปกติที่เขาแต่งตัวกัน เราก็คงไปเคลมไม่ได้ แต่ถ้าเป็นรูปอย่างที่เห็นในละครพรหมลิขิตอันนั้นมันก็ชัดเจน”
จะพูดว่าจุดเริ่มต้นของการทำแบบนี้มาจากบุพเพสันนิวาสเลยได้ไหม?
“ในอดีตเขาเคยทำ ในอดีตช่อง3 เคยเปิดร้านขายสินค้าของที่ระลึก แต่ว่าในอดีตมันไม่ใช่ทางเราเท่าไหร่ เราทำเป็นช่องทางในการโปรโมตละคร และเพื่อให้กับแฟนคลับ ทำเพื่อเจตนาแบบนั้น แต่ว่าตอนหลังๆ ก็ได้เลิกไปเนื่องจากว่ามันมีปัญหาเยอะในการควบคุมสินค้า เรื่องการดีไซน์ แต่ถ้าเราขายลิขสิทธิ์ มันควบคุมง่ายและไม่ต้องทำเอง ไม่ต้องไปติดต่อโรงงานเอง เราไม่จำเป็นต้องมา บริหารงานขายเอง เราไม่ต้องติดต่อกับขนส่งเอง ซึ่งในอดีตเราเคยทำแบบนี้ เราเคยลองทำมาแล้ว แต่ว่าเราทำคนละวัตถุประสงค์ ในอดีตเราทำเพื่อโปรโมตละคร เพื่อให้แฟนคลับอินได้เต็มที่ แล้วก็เราเอาไว้เป็นของขวัญติดต่อกับหน่อยงานราชการ ไปที่ ไหนก็จะดูเป็นของช่อง3 ซึ่งในอดีตทำเพื่อวัตถุประสงค์นั้น”
แสดงว่าเคยเห็นจากบุพเพฯ ที่ไม่ได้ทำตรงส่วนนี้ คือมีเม็ดเงินไหลออกไปใช่ไหม?
“มันก็มีสมัยก่อน ตอนที่บุพเพฯ ภาค2 ที่เป็นเวอร์ชั่นภาพยนตร์ เขาก็ทำแต่เขาก็จ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ให้เรา ไม่งั้นเราก็ไม่อนุญาตเขาใช่ไหม เพราะตอนนั้นจำกันได้ไหมที่เขาไปทำ Digital token เพื่อที่จะให้คนมาซื้อ อันนี้ของเราก็เหมือนกันถ้าเกิดจะมีใครมาซื้อเราก็คงพิจารณาก่อนว่ามันดีมันก็โอเคเราก็ทำ”
เชื่อว่าครอบคลุมทั้งหมด?
“ครอบคลุมหมดเลย ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเกิดว่าเขาใช้คาแร็กเตอร์ คอสตูม หรือจงใจให้เหมือนก็ของเรา ประโยคหลักทั้งหลายที่อยู่ในสคริปต์ที่พูดถึงกันทั้งบ้านทั้งเมืองก็ของเรา ส่วนชาวบ้านถ้าจะไปแต่งเหมือนก็คือไม่เป็นไรหรอก มันอยู่ที่เจตนา ทุกอย่างคือจบถ้ามาคุยกัน แต่ถ้าคนทั่วไปแต่งตัวย้อนยุค ก็ไม่เป็นไร เราไม่ได้แบบคิดเล็กคิดน้อยไม่ขนาดนั้น”
“แต่ว่ามันจะมีเพลงที่อยู่ในภาพยนตร์ เพลงก็มีค่าลิขสิทธิ์ เดี๋ยวนี้มันเป็นค่าบริหารสิทธิ์ทั้งนั้นเลย สำหรับนักแสดงหรือคนแต่งเพลง เดี๋ยวนี้เขามีสมาคมที่ดูแลเกี่ยวกับทางด้านนี้ คือสิทธิ์ของคนเขียนเพลง ของคนทำมิวสิควิดีโอ มันจะมีสมาคมที่ดูแลเรื่องพวกนี้ เราก็จะเป็นสมาชิกในนั้นเพราะฉะนั้นก็จะมีคนไปตามเก็บเงินให้เรา แล้วเอามาแบ่งให้เรา”
อยากทำแบบนี้กับทุกเรื่องไหม?
“แล้วแต่เรื่อง เพราะเราทำละครปีหนึ่งหลาย 10 เรื่อง ละครบางเรื่องก็คงไม่ได้จะไปจดอะไร แต่ถ้าเกิดมีคนเอาของเราไปปลอม คือจริงๆ ละครมันต้องดีต้องดัง ถึงจะมีการพูดถึงมีการบอกต่อ”
ถามถึงเรื่องโฆษณา กับลูกค้าปัจจุบัน เป็นยังไงบ้าง เพราะว่าพรหมลิขิตมีฐานแฟนคลับเยอะมาก?
“พรหมลิขิต จริงๆ แล้วมันเป็นการขายแบบใหม่ของช่อง3 สมัยก่อนละครออกเราก็มีคำสั่งซื้อ แต่พรหมลิขิตนี่เขาสั่งซื้อ เขาจองกันมาตั้งแต่ไก่โห่ เขาไปทำอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมาเยอะแยะเลย ปกติแล้วละครออกจอลงจอก็เท่านี้ แต่ของพรหมลิขิตเขาจะมีว่าเขาขออยู่เบรก 1 นะเป็นต้น โดยรวมนะเราขายแพงกว่าปกติด้วย ปกติเราให้ส่วนลดเท่านี้ แต่เรื่องนี้เราให้ส่วนลดน้อยลง”
พรหมลิขิต ออกอากาศพร้อมกัน มีกี่ประเทศ?
“มีหลายประเทศ 18 ตุลาคมบ้านเราออกอากาศเป็นวันแรก มี Netfilx และในกลุ่มประเทศตะวันตกเฉียงใต้ พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา มีเกาหลี จีนที่ออกวันเดียวกัน สิงค์โปร์ ออกอาทิตย์เดียวกัน รวมๆ 10 ประเทศ”
จีนตรวจอยู่นานไหม?
“นานแต่คุ้ม เพราะเขาซื้อแพง เขาเงื่อนไขเยอะ ผีไม่ให้ LGBTQ ไม่ให้ ย้อนเวลาก็ไม่ได้นะ แต่เราก็ส่งให้เขาไปตรวจก่อนนาน กติกาเยอะ แต่ก็ผ่านมาได้”
ทุนของเรื่องนี้ เผยได้ไหม?
“ละครเรื่องนี้ใช้ทุนเยอะกว่าเรื่องอื่นๆ อยู่แล้วครับ เพราะว่าใช้ระยะเวลาถ่ายทำนาน แล้วภาคแรกทำออกมาได้อย่างดี เรื่องบทก็สำคัญ พอออกมาไม่ถูกใจเขาก็รื้อกลับไปเขียนใหม่ ก็จะมีระหว่างทางถ่ายทำที่ต้องยกกอง นี่ก็คือต้นทุน แต่ทุกคนก็แฮปปี้เพราะว่าทุกคนอยากอยู่ในละครที่ออกมาดี และมีคุณภาพ แต่เรารีบแต่เราต้องยอมในงานศิลปะ แต่เราก็เร่งเขาเพราะว่าจีนเองเวลาเขาขอดูเซ็นเซอร์เขาดูทั้งเรื่อง เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเร่ง”