
การจัดอันดับเมืองแห่งอาหารของโลกที่จัดทำโดย นิตยสารไทม์เอ้าท์ (Time Out) ที่เผยแพร่ในสัปดาห์ที่แล้ว ยกให้เมืองนิวออลีนส์ เป็นเมืองอันดับหนึ่งของโลกด้านอาหารที่รับประทานนอกบ้าน และกรุงเทพฯ ตามมาเป็นที่สอง
การจัดอันดับนี้ ผู้จัดได้ทำการสัมภาษณ์ผู้บริโภคหลายพันคน เพื่อจัดอันดับเมืองแห่งอาหารใน 18 ด้าน ทั้งเรื่องของคุณภาพ ราคาที่ผู้บริโภคสามารถซื้อรับประทานได้ และปัจจัยอื่นๆ ตั้งแต่ ความเหมาะสมในการไปรับประทานเป็นครอบครัว ไปจนถึงการสร้างประสบการณ์ในการรับประทาน
นอกจากนี้ ยังมีคะแนนจากผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร รวมถึง บรรณาธิการ นักวิจารณ์อาหาร และเชฟของไทม์เอ้าท์มาร์เก็ต ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของไทม์เอ้าท์ยังได้แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเมืองที่น่าตื่นเต้นสำหรับอาหารการกิน
และท้ายที่สุด การจัดอันดับจะเลือกเฉพาะเมืองที่มีอันดับสูงสุดของประเทศเมืองเดียว เพื่อให้แน่ใจว่ารายชื่อทั้ง 20 อันดับ จะครอบคลุมและสะท้อนถึงเมืองต่างๆทั่วโลก
สำหรับคำแนะนำเกี่ยวกับอาหารที่น่าลองรับประทานในเมืองนั้นๆ ทางผู้จัดทำการสำรวจได้สอบถามผู้เขียนบทความเกี่ยวกับอาหารที่อยู่ในเครือข่ายทั่วโลก เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารที่น่าทดลองรับประทานของเมืองนั้นๆ
ขอกล่าวถึงอันดับที่หนึ่งก่อนนะคะ นิวออลีนส์ โดดเด่นที่มีประวัติศาสตร์อาหารที่น่าสนใจ โดยมีทั้งอิทธิพลของฝรั่งเศส สเปน เวียดนาม แอฟริกัน และอื่นๆ ในเมืองมีตั้งแต่ร้านหรูๆไปจนถึงร้านข้างบ้าน มีภัตตาคารที่ได้รับรางวัลในอาหารหลากหลายประเภท และมีงานเทศกาลอาหารมากมาย รวมถึงงานเทศกาลแจซ ประจำปี
ถ้าต้องการเลือกกินอาหารเพียงอย่างเดียว แนะนำครอว์ฟิช หรือ เครย์ฟิช ตามสำเนียงอังกฤษ ไทยเราแปลว่ากุ้งนาง เป็นกุ้งน้ำจืดค่ะ แต่มีขายเฉพาะฤดูกาล หากจะหารับประทานได้ตลอดปีต้องเลือก แกมโบ ดิฉันไปหารูปดูแล้ว หน้าตาเหมือนข้าวราดแกงของเรา เนื้อที่ใส่ในแกงที่ราดเป็นอะไรก็ได้ผัดกับซ้อสมะเขือเทศ ส่วนใหญ่เป็นกุ้ง
อีกประการหนึ่งที่ทำให้เมือง นิวออลีนส์ ได้คะแนนสูง ชนะกรุงเทพฯของเราคือ คนท้องถิ่นถึง 93% ให้คะแนนเมืองตัวเองว่ามีร้านอาหารที่รับประทานนอกบ้านดีๆจำนวนมาก เมื่อรวมคะแนนจากผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร และ คะแนนราคาอาหารรับประทานนอกบ้านที่ไม่สูง จึงทำให้ได้อันดับหนึ่งค่ะ
สำหรับอันดับที่สอง คือ กรุงเทพมหานคร ของเรา ซึ่งได้อันดับที่สองของเมืองยอดเยี่ยมของโลกนั้น ผู้วิจัยถึงกับสรุปเลยว่า สิ่งที่ทำให้อาหารในกรุงเทพฯยอดเยี่ยม คือสิ่งที่ทำให้กรุงเทพฯยอดเยี่ยมด้วย คือกรุงเทพฯมีอาหารทุกอย่าง ตั้งแต่อาหารเลิศหรูแบบไฟน์ไดนิ่ง (Fine Dining) ไปจนถึงอาหารภายใต้แสงไฟฟลูออเรสเซนต์ ราคา 3 เหรียญสหรัฐ เขาแนะนำผู้อ่านว่าให้เดินดูรอบๆก่อน เพื่อดูว่าอะไรน่าอร่อยและดึงดูดคน แล้วจึงสั่งและรับประทาน
กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร (Food Experts) ให้คะแนนสูงสุดค่ะ คือได้ 47% คนท้องถิ่นของเรา 86% ให้คะแนนว่าอาหาร “ดี” และ “น่าทึ่ง” ร้านอาหารข้างทาง หรือสตรีทฟู้ดของเรา ยอดเยี่ยมที่สุด โดยมีนิยามว่า “อร่อย เร็ว สะดวก และหลากหลาย” แต่เมื่อเปรียบเทียบกับนิวออลีนส์ คะแนนจากคนท้องถิ่นได้น้อยกว่า สรุปรวมแล้ว เราเลยได้ที่สองค่ะ
ดิฉันอยากเสนอ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ กรุงเทพมหานคร ให้จัดเทศกาลอาหาร เทศกาลดนตรีถี่ขึ้นอีกหน่อย และทำให้เป็นประจำ น่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเพิ่มได้ และไม่ว่าจะจัดงานอะไร ควรคัดเลือกอาหารอร่อย ทั้งเจ้าเก่าและเจ้าใหม่ๆมีโอกาสนำเสนอให้ชิม
ข้าวปลาเป็นเรื่องจริง และไหนๆตรงนี้ก็เป็นจุดแข็งของประเทศ เราก็ต้องพัฒนาและต่อยอดให้ดียิ่งๆ ขึ้นต่อไป ไม่ว่าจะมีฐานะใด ไม่ว่าจะวัยไหน เรื่องกินเป็นเรื่องสำคัญ และเท่าที่เห็นมา ยิ่งรวยก็ยิ่งพิถีพิถันในเรื่องกินมากขึ้น ยินดีจ่ายแพงเพื่ออร่อยลิ้น
พัฒนาวัตถุดิบในการปรุงให้มีคุณภาพเลิศ และใช้เทคโนโลยีช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิต เกษตรกรไทยจะไม่ต้องไปแข่งขันด้านราคากับใคร จะมีแต่คนอยากได้วัตถุดิบคุณภาพจากเรา
เรื่องการถนอมอาหาร เราก็เป็นเลิศ ไม่เป็นรองใคร มีทั้งถนอมโดยวิธีโบราณ เช่น หมัก ดอง มีทั้งการถนอมแบบใช้ความเย็น ใช้แผ่นเคลือบผิวผลไม้ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติที่รับประทานได้
ส่วนเรื่องการปรุงอาหาร ควรสนับสนุนให้มีการเรียนสายอาชีพด้านเชฟ ด้านโภชนาการ ด้านงานฝีมือแกะสลัก ด้านอนามัยให้มากขึ้น ดิฉันเคยเขียนไปแล้วว่าเน้นเรื่องความสะอาด เพิ่มทักษะของนักออกแบบและตกแต่งภายในด้านห้องอาหารและการสร้างบรรยากาศหลากหลาย ส่งเสริมศูนย์อาหารที่อร่อย สะอาด ราคาสมเหตุสมผล
เขียนมายืดยาว ท่านคงอยากทราบต่อว่าเมืองไหนได้ที่สาม เมืองเมเดลลิน (Medellin) ของโคลอมเบียค่ะ ไปหาข้อมูลมาพบว่า เป็นเมืองที่สวย ผู้คนเป็นมิตร ฝรั่งขนานนามว่าเป็นเมืองที่มี “ฤดูใบไม้ผลิตลอดกาล” เพราะอากาศดีไม่หนาว ไม่ร้อน และเป็นเมืองแห่งเทศกาล (เห็นไหมคะ เทศกาลอีกแล้ว)
เมเดลลินได้คะแนนเท่าเซี่ยงไฮ้ แต่ชนะเพราะราคาอาหารถูกที่สุดในบรรดา 20 เมืองที่ติดอันดับ โดยคนท้องถิ่น 89% บอกว่า ราคาอาหารการกินถือว่าดีเลย
อันดับที่สี่ คือ เมืองเคปทาวน์ ของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ได้คะแนนสูงจากความหลากหลายของวัฒนธรรมของเอเชีย ยุโรป และทวีป แอฟริกา อาหารทะเลของที่นี่ขึ้นชื่อมาก และ ฟิชแอนด์ชิพของเคปทาวน์เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของลอนดอนค่ะ
เมื่อปลายปีที่แล้ว Time Out จัดอันดับ เคปทาวน์ ให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดในโลก (มีกรุงเทพฯ ตามมาอันดับสอง) โดยคะแนนภาพรวมของอาหารได้ 95% เท่ากับปารีส ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดของการสำรวจ
อันดับที่ห้า มาดริด มีทั้งภัตตาคาร มีทั้งร้านได้ดาวมิชลิน และมีร้านอาหารที่เสริฟไวน์เต็มไปหมด มีร้านขนมอบอร่อยอยู่ทั่วเมือง และตอนนี้ยังมีภัตตาคารอาหารจากพืช (Plant-base) ที่ดีที่สุดในโลก เป็นเมืองที่คนท้องถิ่นบอกว่าอาหาร “อร่อย” เป็นอันดับสามของการสำรวจ
อันดับที่ 6 เม็กซิโกซิตี้ อันดับที่ 7 ลากอส
อันดับที่ 8 เซี่ยงไฮ้ ซึ่งนักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารให้คะแนน 42% เท่ากับ เมเดลลิน
อันดับที่ 9 คือ ปารีส ซึ่งนักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารให้คะแนน 40%
อันดับที่ 10 จาร์การ์ตา 11. มาราเกซ โมรอคโค 12. ลิม่า เปรู 13. รียาด ซาอุดิอาระเบีย 14. มุมไบ อินเดีย 15. อาบู ดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 16. ไคโร อียิปต์ 17. ปอร์โต โปรตุเกส 18. มอนทรีอัล แคนาดา19. เนเปิลส์ อิตาลี 20. ซานโฮเซ คอสตาริกา
เขียนจบก็หิวแล้ว ขอตัวไปรับประทานอาหารอร่อยของกรุงเทพฯก่อนค่ะ