ผู้ใช้สิทธิบัตรทองใน กทม. เดือดร้อน ปรับกฎจนคลินิกอ่วม กระทบส่งตัวคนป่วยไป รพ. ด้าน สปสช. ชี้แจงแนวทางแก้ไข ถ้าอยากรักษาต้องทำอย่างไร ดูเลย
จากปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมีนาคม 2567
กรณีประชาชนบางส่วน ที่ใช้สิทธิรักษากับคลินิกบัตรทองในพื้นที่ กทม.
แต่กลับพบความยุ่งยากในขั้นตอนการส่งตัวจากคลินิกไปยังโรงพยาบาล
จากการตรวจสอบพบว่า ปัญหาดังกล่าวสืบเนื่องจาก ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม
ที่ผ่านมา สปสช. เขต 13 กทม. ปรับเปลี่ยนขั้นตอนการให้บริการในหน่วยปฐมภูมิ
จากเดิมที่ผู้ป่วยไปรับบริการในหน่วยปฐมภูมิที่ไหนก็ได้
จากนั้นหน่วยงานต่าง ๆ มาเบิกเงินจาก สปสช. เอง เป็นรูปแบบใหม่คือ
จ่ายตามรายการรักษามาเป็นเหมาจ่ายรายหัว
กำหนดให้ผู้ป่วยต้องเข้ารับบริการในหน่วยปฐมภูมิต้นสังกัดก่อน
ซึ่งจะให้การรักษาและเป็นผู้พิจารณาส่งต่อเอง
หลังจากขั้นตอนดังกล่าวถูกบังคับใช้
ทำให้ผู้ป่วยต้องเข้าไปรับใบส่งตัวที่คลินิกชุมชนอบอุ่นทุกครั้ง
และก็เจอปัญหาเช่น ถูกปฏิเสธขอใบส่งตัว ถูกปฏิเสธสิทธิ
ถูกเรียกเก็บค่ารักษา และให้ย้ายหน่วยบริการ
เนื่องจากหลายคลินิกต้องแบกรับค่าใช้จ่ายกรณีได้รับเงินค่าบริการจาก สปสช.
ไม่ครบ และคลินิกต้องรับผิดชอบเรื่องการตามจ่ายกรณีส่งต่อผู้ป่วย
ทำให้ยิ่งรักษามากก็อาจถึงขั้นขาดทุน
ทำให้เรื่องนี้กระทบทั้งประชาชนและคลินิกบัตรทอง
สปสช. สรุปประเด็น ส่งต่อผู้ป่วยบัตรทองไม่ได้ เกิดจากอะไร พร้อมแนะแนวทางแก้ไข
เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 15 มีนาคม 2567 สปสช. ชี้แจงแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยบัตรทองใน
กทม. ว่า ในปีที่ผ่านมาเกิดปัญหางบประมาณผู้ป่วยนอกที่คลินิกชุมชนอบอุ่น
ทำให้มีข้อเสนอจากคลินิกเอง
ในการปรับวิธีการจัดสรรงบประมาณและได้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา
โดยในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ทำให้เกิดการร้องเรียนของผู้ป่วย
ที่มีใบส่งตัวเพื่อรับบริการที่โรงพยาบาลรับส่งต่อใช้ไม่ได้ และ
โรงพยาบาลแนะนำให้ผู้ป่วย กลับไปขอใบส่งตัวที่คลินิกฯ ที่ได้ลงทะเบียนไว้
ขณะที่คลินิกฯ ขอประเมินผู้ป่วยก่อน
และจะออกใบส่งตัวให้ผู้ป่วยที่เกินศักยภาพดูแลเท่านั้น ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ 3
ประเด็นคือ
1.
กลุ่มผู้ป่วยที่ถึงวันนัดแล้วแต่รับบริการที่โรงพยาบาลไม่ได้
เพราะใบส่งตัวที่เคยใช้ไม่สามารถใช้ได้แล้ว มีประมาณ 10%
ถือเป็นกลุ่มเร่งด่วนที่ต้องดูแล
2 .กลุ่มมีนัดเข้ารับการรักษาในระยะเวลาอันใกล้ และเกิดความกังวลว่าจะไม่สามารถเข้ารับบริการได้
3. กลุ่มที่ยังไม่มีนัด แต่โทร. มาสอบถามข้อมูลก่อน
สปสช. ขอความร่วมมือในช่วงนี้ให้ผู้ป่วยกลุ่มที่ 1
ซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนเข้ารับบริการโทร. เข้ามาสอบถามที่สายด่วน 1330
ก่อน เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะแก้ไขปัญหาโดยเร็ว ขณะเดียวกัน สปสช.
เองได้เพิ่มเจ้าหน้าที่เพื่อคอยรับสายเพิ่มเติมอีก 100 คน
เพื่อให้บริการประชาชนได้เพิ่มขึ้น หรือฝากข้อความผ่านระบบออนไลน์ของ สปสช.
ขณะนี้ สปสช.ได้รับการประสานจากหน่วยบริการภาคเอกชน
เพื่อขอเข้าร่วมจัดเครือข่ายคลินิกชุมชนอบอุ่นให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่ว กทม.
เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้สะดวกเพิ่มขึ้น
สปสช. รับ มีการเปลี่ยนแปลงการจ่ายเงิน แนะประชาชน รับบริการตามปกติ
ด้าน พญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
(สปสช.) กล่าวว่า ช่วงก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2567 สปสช.
ใช้ระบบการจ่ายชดเชยค่าบริการที่เรียกว่า Model 5
มีศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม. เป็นหน่วยบริการประจำ
และมีคลินิกชุมชนอบอุ่นเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ ในเครือข่าย
โดยจัดสรรเป็นงบประมาณรวม (Global budget) ที่แบ่งจัดสรรงบเป็น 2 ส่วน คือ
งบจ่ายค่าบริการให้กับคลินิกชุมชนอบอุ่นตามรายการปลายปิด (FS.)
และงบสำหรับกรณีส่งตัวผู้ป่วยรักษาที่โรงพยาบาล
โดยคลินิกได้รับเงินตามจำนวนที่เรียกเก็บ
และได้รับเงินคงเหลือในช่วงปลายปีเป็นจำนวน 412 ล้านบาทในปี 2564 และ 618
ล้านบาทในปี 2565
อย่างไรก็ดี ในปี 2566
ด้วยจำนวนการส่งต่อผู้ป่วยไปรับบริการที่โรงพยาบาลรับส่งต่อเพิ่มมากขึ้น
หลังการหักค่าใช้จ่าย จากการส่งต่อ
ทำให้งบที่จ่ายค่าบริการแก่คลินิกชุมชนอบอุ่นไม่เพียงพอ
ทางคลินิกชุมชนอบอุ่นจึงรวมตัวและมีข้อเสนอเปลี่ยนวิธีการจ่ายเงินเป็น OP
New Model 5 ให้เป็นงบเหมาจ่ายรายหัว ที่โอนให้คลินิกชุมชนอบอุ่นทั้งก้อน
โดยคลินิกฯ จะทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยในพื้นที่และส่งต่อผู้ป่วย โดย อปสข. เขต
13 กทม. ได้มีมติตามข้อเสนอและได้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567
ที่ผ่านมา
ขณะที่ ทพญ.น้ำเพชร ตั้งยิ่งยง ผู้อำนวยการ
สปสช. เขต 13 กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น สปสช. เขต 13
ได้เร่งทำการสื่อสารไปยังโรงพยาบาลและคลินิกชุมชนอบอุ่นแล้ว
โดยเน้นไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้รับบริการ
ขอให้ความมั่นใจกับประชาชนทุกท่านว่ายังสามารถเข้ารับบริการได้เหมือนเดิม
แม้จะเปลี่ยนรูปแบบการจ่ายเงินชดเชยค่าบริการ
แต่ระบบการให้บริการไม่ได้เปลี่ยน เพียงแต่ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้
คลินิกชุมชนอบอุ่นที่ผู้มีสิทธิบัตรทองได้ลงทะเบียนไว้อยากจะขอดูแลท่านก่อน
เพื่อประเมินอาการ หากเกินศักยภาพก็จะมีการส่งต่อโรงพยาบาล
ทั้งนี้ประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อหน่วยบริการปฐมภูมิของตนเองได้ในแอปพลิเคชันหรือ
ไลน์ สปสช. หรือผ่าน สายด่วน 1330
และในกรณีต้องการย้ายหน่วยบริการปฐมภูมิให้ใกล้บ้านหรือใกล้ที่ทำงาน
เพื่อความสะดวกการรับบริการก็สามารถย้ายได้ถึงปีละ 4 ครั้ง
ขอย้ำว่า วันนี้ประชาชนที่มีใบนัด มีใบส่งตัวเดิม ท่านไม่ต้องกังวล
ขอให้ไปที่โรงพยาบาลรับส่งต่อได้เลย สามารถรับบริการได้ตามปกติ
ส่วนกรณีที่มีใบนัด
แต่ไม่มีใบส่งตัวก็ให้โรงพยาบาลพิจารณาให้การรักษาแล้วแต่กรณี
ซึ่งก็สามารถเบิกกับ สปสช. ได้เช่นกัน
ส่วนปัญหาประเด็นสำคัญคือเรื่องการส่งต่อผู้ป่วย
ซึ่งเป็นจะเป็นดุลยพินิจของหน่วยบริการปฐมภูมิ
แต่ในฝั่งประชาชนก็มีความกังวล เพราะด้วยคลินิกชุมชนเป็นผู้ตามจ่าย
ดังนั้นในระยะยาวจะต้องมีการจัดทำกลไกระบบส่งต่อเพื่อรองรับประชาชนที่จำเป็นต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาลช่วยลดความขัดแย้งกรณีการส่งต่อ
โดยเฉพาะประชาชนที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่มีความซับซ้อนหรือต้องใช้ยาราคาแพง
ซึ่งเกินศักยภาพการดูแลของคลินิกชุมชนอบอุ่นอยู่แล้ว
จัดระบบเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่เห็นชอบร่วมกัน
เพื่อให้ผู้สามารถเข้ารับบริการได้ตามระบบ
โดยไม่ต้องรอดุลยพินิจของหน่วยบริการปฐมภูมิ หรือขอใบส่งตัว
นอกจากนี้ในอนาคตจะมีการเสนอตั้งคณะกรรมการกลางเพื่อชี้ขาดกรณีผู้ป่วยไม่ได้รับใบส่งตัวด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก สปสช., สปสช. , สปสช.