ล่าสุด จากข่าวดีที่ได้รับการยืนยันแล้วว่า “ลลิษา มโนบาล” หรือ “ลิซ่า” แห่งวงแบล็กพิงค์ (BLACKPINK) เตรียมเดบิวต์ผลงานการแสดงครั้งแรกในออริจินัลซีรีส์เรื่อง “เดอะ ไวต์ โลตัส ซีซั่น 3” (The White Lotus Season 3) ของค่าย HBO ซึ่งเป็นซีรีส์เรื่องดังนำเสนอเนื้อหาตลกร้ายเสียดสีสังคม สะท้อนประเด็นสุดคลาสสิกของโลก เช่น ความเหลื่อมล้ำ ความมืดดำของจิตใต้สำนึกมนุษย์ ผ่านกลุ่มตัวละครที่มีพื้นเพแตกต่าง เผชิญสถานการณ์มากมายขณะเดินทางมาพักผ่อนที่โรงแรมหรูบนเกาะแห่งหนึ่ง โดย “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” (ททท.) จะสนับสนุนการถ่ายทำในไทย ซึ่งปักหมุดใช้สถานที่ถ่ายทำในกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเกาะสมุย
สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ตามที่มีข่าวยืนยันเรื่อง “ลิซ่า แบล็กพิงค์” จะร่วมแสดงซีรีส์เรื่องดัง The White Lotus Season 3 ทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯ มองว่า เมื่อมีภาพยนตร์หรือซีรีส์เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย นอกจากจะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในแง่การท่องเที่ยวสูงมากแล้ว ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกด้วย
โดยทีมนักแสดงและทีมงานเบื้องหลังที่เข้ามาถ่ายทำและพำนักในไทยหลายวัน จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและท่องเที่ยวมากขึ้น ซึมซับความเป็นไทยไปในตัว ส่วนทางอ้อมคือเมื่อภาพยนตร์หรือซีรีส์ออกฉายแล้ว จะช่วยสร้างดีมานด์ให้ผู้ชมอยากเดินทางตามรอยมาท่องเที่ยวไทย เหมือนกับภาพยนตร์เรื่อง “เดอะ บีช” (The Beach) ที่โด่งดังเมื่อ 20 กว่าปีก่อน หลังใช้ “กระบี่” เป็นสถานที่ถ่ายทำ
“ภาพยนตร์ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสร้างซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย รัฐบาลจึงได้สนับสนุนให้กองถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างประเทศ เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยผ่านการสร้างแรงจูงใจ”
ด้วยการให้ “สิทธิประโยชน์” คืนเงินแก่กองถ่ายเป็นมูลค่า 20-30% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยสิทธิประโยชน์หลักอยู่ที่ 20% เมื่อมีการลงทุนในประเทศไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ส่วนสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมรวมแล้วไม่เกิน 10% อาทิ สามารถใส่ความเป็นไทยลงไปในภาพยนตร์เพิ่มเติมได้อีก อย่างใช้วันถ่ายทำในเมืองรองถึง 50% ของจำนวนวันถ่ายทำทั้งหมด จะคืนเงินเพิ่มให้ 3% ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ ภาพลักษณ์ที่ดีของไทย คืนให้ 5% จ้างบุคลากรหลักของไทย คืนให้ 3%
“ขณะนี้มีเพดานใช้จ่ายสูงสุดอยู่ที่ 750 ล้านบาท ซึ่งกำลังทำเรื่องเสนอรัฐบาลให้พิจารณากรณีหากมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เข้ามาถ่ายทำในไทย ใช้เงินมากกว่า 750 ล้านบาท เราสามารถที่จะไม่ต้องกำหนดวงเงินสูงสุดได้หรือไม่ เพื่อรองรับกองถ่ายที่จะเข้ามาใช้จ่ายจำนวนมากๆ แบบนี้ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศสูงมากด้วย”
ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าเมื่อปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 ระบาด ประเทศไทยมีรายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ 4,463.74 ล้านบาท ส่วนปี 2564 แม้ยังมีโควิดระบาดอยู่ แต่ก็มีผู้สร้างภาพยนตร์เข้ามาถ่ายทำในไทยสร้างรายได้ 5,007 ล้านบาท และปี 2565-2566 มีรายได้อยู่ประมาณ 6,000 ล้านบาท
สุดาวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ตามที่รัฐบาลได้ประกาศดึงดูด “ศิลปินระดับโลก” เข้ามาจัดคอนเสิร์ตในประเทศไทย เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ ทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯ พร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการสนับสนุนเรื่องที่เกี่ยวข้อง อาทิ การร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ (กต.)เพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องวีซ่าแก่ทีมงานคอนเสิร์ต เนื่องจากการจัดแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินดังที่ผ่านมา อาทิ เจย์ โจว (Jay Chou), เอ็ด ชีแรน (Ed Sheeran) และวงโคลด์เพลย์ (Coldplay) พบว่ามี “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” ที่เป็นฐาน “แฟนคลับ” เดินทางเข้าประเทศไทยในช่วงนั้นจำนวนมากเพื่อชมคอนเสิร์ตศิลปินที่ชื่นชอบ
“แฟนคลับของศิลปินระดับโลกเหล่านี้เป็นนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง ใช้จ่ายสูง นิยมพักโรงแรมดีๆ ทานอาหารราคาแพง หากสามารถดึงศิลปินดังระดับโลกเข้ามาจัดคอนเสิร์ตในประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลดีมากต่อเศรษฐกิจในภาพรวม”
อย่างไรก็ตาม จากนี้จะมีการจัดระบบ “คมนาคม” ให้ดีขึ้น โดยเฉพาะหลังคอนเสิร์ตแสดงจบ การเดินทางจะต้องมีความสะดวกมากขึ้น โดยจะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ช่วยบริหารจัดการการจราจรในช่วงที่มีความหนาแน่นสูง ไม่ใช่เฉพาะวันที่มีคอนเสิร์ตเท่านั้น แต่รวมถึงวันธรรมดาที่อยากให้การจราจรไม่เป็นอุปสรรคกับการใช้ชีวิตของประชาชนด้วย