นักรบมนตรา : ตำนานแปดดวงจันทร์ ภาพยนตร์แอนิเมชันขนาดยาวเรื่องแรกจาก RiFF Studio สตูดิโอผู้อยู่เบื้องหลังงานแอนิเมชันจากผลงานชื่อดังมากมาย เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Evangelion: 3.0+1.01 Thrice Upon a Time (2021), เมย์ไหน..ไฟแรงเฟร่อ (2015), วิดีโอเกม Crash Team Rumble (2023) ฯลฯ โดยได้ ตุลย์-วีรภัทร ชินะนาวิน มานั่งแท่นผู้กำกับ พร้อมด้วย พีท-สรพีเรศ ทรัพย์เสริมศรี มารับหน้าที่เขียนบท และ ชาคฤษ โนนคำ มารับหน้าที่ออกแบบตัวละคร
เนื้อหาของภาพยนตร์ได้รับแรงบันดาลใจจากวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ บอกเล่าเรื่องราวของสงครามระหว่างกองทัพแห่งองค์รามและจักรพรรดิทศกัณฐ์ ที่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนานไม่รู้จบ กระทั่งวันหนึ่งองค์รามเกิดพลาดท่าถูกทศกัณฐ์ลักพาตัวนางสีดาขึ้นยานหนีไป เพราะมีตำนานกล่าวไว้ว่า ในทุกๆ 500 ปี พลังแห่งเทพที่สามารถสร้างหรือทำลายทุกสรรพสิ่งในพริบตาจะตื่นขึ้นในร่างสตรีนางหนึ่ง ซึ่งทศกัณฐ์เชื่อว่าพลังอันยิ่งใหญ่ที่หลับใหลนี้อยู่ในตัวนางสีดา
องค์รามจึงต้องส่ง วายุ เวฬา และบุษบา ออกตามหาตัวนางสีดากลับคืนมา แต่ก็ถูกขัดขวางด้วยพละกำลังอันมหาศาลจากราชาพาลี แม่ทัพผู้แข็งแกร่งที่ไม่เคยพ่ายแพ้ในศึกสงคราม และหนทางเดียวที่จะชิงตัวนางสีดากลับคืนมา คือต้องรอคอยนักรบในตำนานที่ถูกเรียกขานว่า นักรบมนตรา ที่จะถือกำเนิดในห้วงเวลาที่เกิดปรากฏการณ์ดวงจันทร์ทั้งแปดแห่งดาววานาราเรียงตัวกันเท่านั้น
บทความที่เกี่ยวข้อง:
ก่อนที่จะพูดคุยถึง นักรบมนตรา : ตำนานแปดดวงจันทร์ ผู้เขียนขอเท้าความกลับไปในวันที่เราได้รับชมตัวอย่างแรกของ นักรบมนตรา ที่ทาง RiFF Studio ปล่อยออกมาเมื่อช่วงปี 2020 รวมถึงมิวสิกวิดีโออีก 2 ตัวที่ได้ศิลปินมากฝีมืออย่าง เก่ง-ธชย ประทุมวรรณ และ KP Angel มาร่วมขับร้อง ความรู้สึกของเรา ณ เวลานั้นค่อนข้างตื่นเต้นกับงานภาพและพล็อตเรื่องที่ RiFF Studio สร้างสรรค์ขึ้นมาพอสมควร
ทั้งการออกแบบคาแรกเตอร์ที่นำตัวละครจาก รามเกียรติ์ มาเป็นหุ่นยนต์สุดเท่ การโชว์ฉากแอ็กชันที่อาจไม่ได้ยาวนักแต่ก็อัดแน่นด้วยงานภาพสวยๆ ชวนตื่นตาตื่นใจ รวมถึงฉากหลังของเรื่องที่ถูกเซ็ตให้เป็นสงครามระดับจักรวาล มีสัตว์ประหลาดต่างดาวขนาดยักษ์และยานรบเปี่ยมจินตนาการ ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้จึงทำให้เราแอบเชียร์และตั้งรอที่จะได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรงเร็วๆ เพราะอย่างที่ทุกคนพอจะทราบกันดีว่า การที่จะมีใครสักคนลุกขึ้นมาทำภาพยนตร์แอนิเมชันขนาดยาวแบบนี้ในไทยนั้นไม่ได้มีบ่อยๆ นัก
ตัดสลับมาที่ นักรบมนตรา : ตำนานแปดดวงจันทร์ ความรู้สึกของผู้เขียนหลังจากได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้มีจุดที่ชื่นชอบมากๆ และมีข้อสังเกตที่รู้สึกว่ายังติดขัดอยู่เช่นกัน
จุดเด่นประการแรกที่เราชื่นชอบมากๆ คืองานภาพสุดตื่นตาสมกับเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันฉายโรง เริ่มตั้งแต่การออกแบบตัวละครอย่าง ทศกัณฐ์ กับชุดเกราะและผ้าคลุมสุดเท่ที่สัมผัสถึงความน่าเกรงขามได้อย่างชัดเจน หรือ 3 ตัวละครหลักอย่าง วายุ เวฬา และบุษบา ที่ต่างก็มีคาแรกเตอร์อันโดดเด่น รวมถึงการออกแบบเมืองในดาววานารา ที่ผสมผสานความเป็นไทยเข้ากับบรรยากาศของไซเบอร์พังก์อย่างลงตัว
และสำหรับใครที่ ‘คาดหวัง’ ว่าจะได้รับชมฉากแอ็กชันเดือดๆ ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะผู้กำกับและทีมสร้างได้ออกแบบฉากแอ็กชันน้อยใหญ่มาเสิร์ฟแบบไม่มีกั๊ก ทั้งฉากการเผชิญหน้ากันระหว่างองค์รามและทศกัณฐ์ในช่วงต้นเรื่องที่อาจไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่ก็เป็นฉากที่ฉายภาพให้เราเห็นถึงอิทธิฤทธิ์อันล้นเหลือของทั้งคู่ให้เราได้รับชม เสมือนผู้สร้างใช้ฉากนี้เพื่อ ‘อุ่นเครื่อง’ ให้ผู้ชม ก่อนที่จะโยนเราเข้าสู่สงครามระดับจักรวาลแบบเต็มสูบ
ซึ่งในจุดนี้เราต้องขอชื่นชมทีมสร้างในแง่ของการลำดับเหตุการณ์ที่ค่อยๆ ไต่ระดับความยิ่งใหญ่อลังการของฉากแอ็กชันให้สูงขึ้นเรื่อยๆ แบบไม่มีตก ยกตัวอย่างเช่น ฉากเปิดสงครามระหว่างองค์รามและราชาพาลีที่ว่ายิ่งใหญ่มากๆ แล้ว ภาพยนตร์ยังมีไม้เด็ดอีกสอง สาม และสี่ฉากใหญ่ๆ ที่เตรียมไว้สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้ชมอย่างต่อเนื่อง
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ส่วนตัวผู้เขียนชื่นชอบ คือการที่ผู้กำกับและทีมสร้างสามารถผสมผสานความไซไฟอวกาศที่เนืองแน่นด้วยยานรบและหุ่นยนต์มากมาย เข้ากับความแฟนตาซีที่มีทั้งเรื่องราวของทวยเทพและเวทมนตร์ออกมาได้อย่างลงตัว ไม่ได้รู้สึกว่ามีฝั่งไหนที่ล้นเกินไปหรือดูแปลกตาเกินไป เช่น ราชาพาลีที่ในต้นฉบับ รามเกียรติ์ เขาคือวานรสุดแกร่งที่หากใครต่อสู้กับเขาพลังของอีกฝ่ายจะลดลงครึ่งหนึ่งและนำพลังนั้นมาเพิ่มให้กับเขา ขณะที่ในฉบับภาพยนตร์ ผู้กำกับและทีมสร้างก็เลือกที่จะตีความใหม่ ด้วยการให้ราชาพาลีมีอาวุธสุดโกงที่สามารถดูดซับพละกำลังของฝ่ายตรงข้ามและนำมาเพิ่มให้กับตัวเองได้
หรือจะเป็นตัวละครภายในเรื่องที่ถูกวางให้เป็นมนุษย์ธรรมดาที่ขับหุ่นยนต์รบ แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็สามารถหยิบยืมพลังจากทวยเทพมาใช้ได้ ซึ่งช่วยเสริมให้พาร์ตตำนานเล่าขานที่ทีมสร้างเสริมแต่งขึ้นมานั้นมีความน่าสนใจและสามารถนำไปต่อยอดเรื่องราวให้ผู้ชมเข้าไปสำรวจจักรวาลนี้เพิ่มเติมในอนาคตได้อีกด้วย
นอกจากนี้ นักรบมนตรา : ตำนานแปดดวงจันทร์ ยังมาพร้อมกับประเด็นของเรื่อง ที่น่าสนใจ นั่นคือความหมายของคำว่า ‘หน้าที่เหนือชีวิต’ ซึ่งเป็นประโยคที่เราจะได้ยินตัวละครกล่าวถึงตลอดทั้งเรื่อง และยังเป็นประโยคสำคัญที่ขับเคลื่อนเรื่องราว เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้ร่วมขบคิดและหาคำตอบไปพร้อมกันว่า การทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัด โดยไม่แม้แต่จะ ‘ตั้งคำถาม’ ต่อหน้าที่ที่ได้รับคือสิ่งที่ถูกต้องสมควรแน่แล้วหรือ
เพราะในบางสถานการณ์ หากเราลองวางคำว่าหน้าที่ลงและใช้ ‘หัวใจ’ ของตัวเองมองสิ่งรอบตัวดู เราอาจเห็นบางสิ่งที่สำคัญกว่าคำว่าหน้าที่ชัดเจนมากขึ้นก็เป็นได้ โดยเฉพาะเมื่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอาจกำลังทำร้ายหรือสร้างความเสียหายแก่ผู้คนรอบข้างแทน
อย่างไรก็ตาม นักรบมนตรา : ตำนานแปดดวงจันทร์ ก็มีข้อสังเกตที่เรารู้สึกติดขัดอยู่หลายจุดเช่นเดียวกัน ประการแรกคือความตลกขบขันของเรื่อง ที่เรารู้สึกว่าผู้กำกับและทีมสร้างสอดแทรกเข้ามาเยอะเกินความจำเป็นไปสักหน่อย อย่างเช่นในบางสถานการณ์ที่กำลังตึงเครียด จู่ๆ ตัวละครก็ปล่อยมุกตลกเข้ามาแทรก จนส่งผลให้ในบางฉากที่ควรจะถูกนำเสนอด้วยท่าทีที่จริงจังเพื่อชวนให้ผู้ชมลุ้นและมีอารมณ์ร่วมไปกับเหตุการณ์กลับไม่ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างที่ควรจะเป็น
ไม่เพียงแค่นั้น ความตลกขบขันของเรื่องที่ถูกใส่เข้ามา ‘ผิดที่ผิดเวลา’ ยังส่งให้บางการกระทำของตัวละครดูไม่สมเหตุสมผลตามไปด้วย เช่น ในฉากที่วายุต้องไปทำภารกิจสำคัญเพื่อชิงความได้เปรียบของสงคราม แต่การตัดสินใจบางอย่างของวายุกลับดู ‘ทีเล่นทีจริง’ เกินไป จนทำให้การกระทำหลายๆ อย่างของเขาดูไม่สมเหตุสมผล และยังส่งให้ ‘ผลลัพธ์’ ของการตัดสินใจหลังจากนั้นดูไม่มีน้ำหนักตามไปด้วย
และข้อสังเกตสำคัญที่ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าเป็น ‘แผลใหญ่’ ของเรื่อง นั้นคือพาร์ตความสัมพันธ์และปมปัญหาของตัวละครที่ถูกเล่าอย่างรวบรัดเกินไป ไม่ว่าจะเป็นความผูกพันของ 3 ตัวละครหลักอย่าง วายุ เวฬา และบุษบา หรือจะเป็นปมปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างราชาพาลี สุครีพ และองค์ราม ที่ภาพยนตร์เลือกจะนำเสนอความสัมพันธ์และปมปัญหาของตัวละครเหล่านี้ผ่านฉากย้อนอดีตและบทสนทนาสั้นๆ เท่านั้น แต่ภาพยนตร์ก็ไม่ได้พาเราเข้าไปสำรวจความสัมพันธ์ของพวกเขามากไปกว่านั้น มันจึงส่งผลให้เรา ‘เข้าใจ’ ความสัมพันธ์ของตัวละครที่ภาพยนตร์นำเสนอ แต่ไม่สามารถชักชวนให้เรา ‘รู้สึก’ หรือมีอารมณ์ร่วมไปกับเหตุการณ์ที่ตัวละครกำลังเผชิญเท่าไรนัก
ในภาพรวมแล้วสำหรับผู้เขียน นักรบมนตรา : ตำนานแปดดวงจันทร์ เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันฝีมือคนไทยที่มาพร้อมกับงานภาพสุดตื่นตาสมการรอคอย ทั้งการผสมผสานความเป็นไซไฟอวกาศและแฟนตาซีเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ฉากแอ็กชันเดือดๆ ที่ถูกใส่เข้ามาแบบไม่มีกั๊ก และมีประเด็นของเรื่องที่ชวนให้เราร่วมกันขบคิด
อีกด้านหนึ่ง ภาพยนตร์ก็มีข้อสังเกตที่เรารู้สึกติดขัดในแง่ของการใส่ความตลกขบขันที่มากเกินความจำเป็น จนทำให้การกระทำบางอย่างของตัวละครไม่สมเหตุสมผล รวมถึงการนำเสนอแง่มุมความสัมพันธ์และปมปัญหาของตัวละครที่อาจยังไม่สามารถชักชวนให้เรามีความรู้สึกร่วมไปกับพวกเขาได้อย่างเต็มที่
ภาพยนตร์มีฉากท้ายเครดิต 2 ตัว ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนค่อนข้างตื่นเต้นกับฉากดังกล่าวทีเดียว รวมถึงมีคลิปเบื้องหลังการทำงานของทีมพากย์ไทยให้เราได้ชมกันอีกด้วย
นักรบมนตรา : ตำนานแปดดวงจันทร์ เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่: