บิ๊กช่อง 3 ประกาศจดลิขสิทธิ์ “พรหมลิขิต” ตั้งแต่คอสตูม ยันประโยคฮิต เพราะละครเราดัง! มั่นใจไม่ซ้ำรอยปังชา



ช่อง 3 ไม่ปล่อยให้พ่อค้าหัวใสลอยนวล จดลิขสิทธิ์ละคร “พรหมลิขิต” ครั้งแรก ตั้งแต่คอสตูมยันประโยคฮิตในละคร ห้ามใครใช้ในเชิงพาณิชย์ ส่วนประชาชนทั่วไป ยังแต่งกายโคฟเป็น “พี่หมื่น-แม่การะเกด” ได้เหมือนเดิม ยอมรับที่ถูกก็อปปี้ แสดงว่าละครเราดัง

“คุณสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์” กรรมการผู้อำนวยการ สายธุรกิจโทรทัศน์ ของช่อง 3 ได้เผยถึงกระแสของละครฟอร์มยักษ์ ภาคต่อของ “บุพเพสันนิวาส” อย่าง “พรหมลิขิต” ที่ยกทัพนักแสดงชื่อดังของช่องกว่าครึ่งร้อย เสริมทีม เพิ่มซีจีเพื่อความอลังการสมการรอคอยของผู้ชมที่จะได้ดูกันในวันที่ 18 ต.ค.นี้แล้ว ซึ่งล่าสุดได้ชี้แจงถึงการจดลิขสิทธิ์ละคร “พรหมลิขิต” ตั้งแต่คอสตูมยังประโยคฮิต พร้อมเอาผิดทุกคน หากใครคิดละเมิด ซึ่งนี่ถือได้ว่าเป็นการจดลิขสิทธิ์แบบครอบคลุมเป็นครั้งแรก ยันไม่มีปัญหาเหมือน “ปังชา” แน่นอน และประชาชนทั่วไปยังแต่งกายโคฟเป็น “พี่หมื่น-แม่การะเกด” ได้เหมือนเดิม

“จริงๆ แล้วพรหมลิขิต หรือ บุพเพสันนิวาส อะไรทั้งหลายนี้ที่อยู่ในซีรีส์ตรงนี้ มันก็จะเป็นการจดทะเบียนเป็นเจ้าของสิทธิ์ IP ที่เราเรียกว่า IP right ทั้งหมดเนี่ยก็จะเป็นของกลุ่ม BEC world ทั้งหมด ก็หมายความว่าปัจจุบันนี้เราไม่ได้ทำทีวีเพื่อที่จะทำละคร แล้วออกอากาศหน้าจออย่างเดียว มันมีหลายอย่าง เวลาละครเราฮิตก็จะมีคนมาซื้อลิขสิทธิ์เรา ซื้อ IP เรา เพื่อที่จะไปทำภาพยนตร์โฆษณา

ผมยกตัวอย่างอีกหน่อยก็อาจจะมีคนมาเอานักแสดงพระนางของเราอยู่ในชุดที่คนคุ้นเคยในละครอย่างนี้ ก็เรียกว่าเสียค่าสิทธิ์ นอกจากคุณไปจ่ายค่าตัวดาราแล้ว คุณยังต้องเสียค่า IP หรือ ค่าลิขสิทธิ์ให้กับผมด้วย ค่าคาแรกเตอร์ด้วย แล้วอีกหน่อยถ้ามันฮิตมันก็จะมีการเตรียมไปทำ สินค้าที่ระลึก พวกสินค้านี้มันก็จะมีเยอะ ซึ่งตอนนี้ก็มีคนติดต่อเข้ามาขอซื้อโน่นขอซื้อนี่ เพื่อที่จะเอาไปทำหมวกทำหมอนทำอะไรมั่งแล้วแต่ เพราะว่าถึงเวลาแป๊บหนึ่ง ผมคิดว่าคนดูก็จะดูละครเรื่องนี้ พอดูละครเรื่องนี้ แป๊บนึงเนี่ยพ่อค้ามันก็จะดูอีกแบบหนึ่ง พ่อค้าก็จะดูว่ามันฟินตรงไหนบ้าง จับตรงไหนเอาไปทำอะไรมั่งที่เป็นโปรดักส์ที่พอจะเอามาทำนี่ได้บ้างใช่ไหม มันจะมีแบบนี้ออกมาแต่เราก็จะไปจดเป็นทรัพย์สินทางปัญญาไว้หมดเลย

ถามว่าอะไรเป็นจุดเริ่ม จริงๆ มันเป็นการบริหารทรัพย์สินของเรา ละคร 1 เรื่องไม่ได้เป็นแค่ตัวละครอย่างเดียว แต่เป็นทั้งตัวคาแรกเตอร์ เป็นทั้งอะไรต่อมิอะไร เราจึงต้องมีวิธีการหาเงินกับเขาให้ได้หลายวิธี ถ้าเราดูหนัง Hollywood เวลาจูราสสิคพาร์คเข้ามาทีหนึ่ง ทั้งเสื้อผ้า ทั้งผลิตภัณฑ์มาเต็มเลย แต่ว่าของเราเนี่ยในอนาคตข้างหน้าเราก็ต้องมี แต่ละครในแนวบุพเพสันนิวาส แนวแบบพรหมลิขิต เราทำได้ เรามีบริษัทเอเจนซี่โฆษณา ซึ่งสามารถขโมยซีนใดซีนหนึ่งที่เขารู้เลยว่ามันปัง เพื่อที่จะเอาไปก็อปเอาไปเป็นโฆษณาอย่างที่เราเห็นกัน เพราะมันโผล่มาแป๊บเดียว คนมันก็มีแบรนด์รีคอลแล้ว ว่าเฮ้ย ไอ้นี่ใช่นี่หว่า เพราะฉะนั้นไอ้เนี่ย คือที่มาของการได้เงิน ซึ่งจะไม่เหมือนกับในอดีต เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องของทรัพย์สินทางปัญญาเนี่ยมีความสำคัญ”

“พรหมลิขิต” คือเรื่องแรก จดลิขสิทธิ์ครอบคลุมทุกอย่าง
“ใช่อันนี้เป็นครั้งแรก ที่จริงๆ แล้ว เรามีการจดทะเบียนตลอด แต่ว่าอันนี้เป็นความพยายามของเราที่จะบริหารสิทธิ์ ถ้าเราบริหารทรัพย์สินของเราให้เป็นประโยชน์เราก็อาจจะบาดเจ็บน้อยกว่าคนอื่น เพราะว่าเราดีไซน์บริษัทเรามาดี มันก็เป็นความพยายาม ถ้าสมมุติอีกหน่อยเศรษฐกิจมันดี ไอ้พวกนี้ก็ถือว่าเป็นโบนัสเพราะว่ามันมีเงินเข้ามา

การจดลิขสิทธิ์ในเรื่องนี้ เราครอบคลุมตั้งแต่ตัวคาแรกเตอร์ คอสตูม เอาง่ายๆ แค่คุณแต่งตัวให้คนคิดว่านั่นคือ แม่การะเกด หรือ หมื่นสุนทรเทวา แค่นี้ผมก็สามารถที่จะเอาเรื่องคุณได้แล้ว เพราะว่าผมไปจดทะเบียนเอาไว้แล้วว่าคาแรกเตอร์แบบนี้ แต่งตัวลักษณะนี้เป็นต้น รวมถึงประโยคในเรื่อง มันก็จะมีประโยคเด็ด พวกนี้ก็เป็นในเรื่องของลิขสิทธิ์ ซึ่งเราสามารถจดไว้ได้ทั้งหมด”

“จดลิขสิทธิ์” ไว้เพื่อรักษาสิทธิ์ แต่ทุกอย่างอยู่ที่เจตนา
“เพราะเวลาจดเนี่ยมันก็จะมีบอกว่ามันครอบคลุมอะไรบ้าง ถามว่ากลัวไหมว่ามันจะมีปัญหาตามมา ยกตัวอย่างอย่างเรื่องปังชา มันอยู่ที่เจตนาครับ ทั้งหมดทั้งมวลก็อยู่ที่เจตนาด้วย แล้วก็อยู่ที่สเกลของคนที่เอาไปทำด้วย คือถ้าบางคนมันเอาไปทำแล้วมันเล็ก ๆน้อยๆ เราก็คงไม่ใส่ใจไปฟ้องหรอก แต่ถ้าทำเป็นเรื่องเป็นราวเลย ซึ่งปกติแล้วบริษัทใหญ่ๆ เขาไม่เสี่ยงหรอก ยังไงเขาก็จะมาติดต่อกับคนที่เป็นเจ้าของสิทธิ์ ไม่มีใครอยากโดนเจ้าของลิขสิทธิ์ฟ้องหรอก ถ้าใช้ในเชิงพาณิชย์ถูกไหม ก็คือพูดง่ายๆ ไม่ว่าเขาจะเอาไปทำอะไร มันก็คือลิขสิทธิ์ของเราทั้งหมด แต่กับคนปกติที่เขาแต่งตัวกัน เราก็คงไปเคลมไม่ได้ แต่ถ้าเป็นรูปอย่างที่เห็นในละครพรหมลิขิต อันนั้นมันก็ชัดเจน”

บทเรียนจาก “บุพเพสันนิวาส” จึงทำให้มีวันนี้ ยันคนทั่วไปแต่งได้ ไม่ได้ผิดอะไร
“ในอดีตเขาเคยทำ ในอดีตช่อง 3 เคยเปิดร้านขายสินค้าของที่ระลึก แต่ว่าในอดีตมันไม่ใช่ทางเราเท่าไหร่ เราทำเป็นช่องทางในการโปรโมตละคร และเพื่อให้กับแฟนคลับ ทำเพื่อเจตนาแบบนั้น แต่ว่าตอนหลังๆ ก็ได้เลิกไป เนื่องจากว่ามันมีปัญหาเยอะในการควบคุมสินค้า เรื่องการดีไซน์ แต่ถ้าเราขายลิขสิทธิ์ มันควบคุมง่ายและไม่ต้องทำเอง ไม่ต้องไปติดต่อโรงงานเอง เราไม่จำเป็นต้องมา บริหารงานขายเอง เราไม่ต้องติดต่อกับขนส่งเอง ซึ่งในอดีตเราเคยทำแบบนี้ เราเคยลองทำมาแล้ว แต่ว่าเราทำคนละวัตถุประสงค์ ในอดีตเราทำเพื่อโปรโมตละคร เพื่อให้แฟนคลับอินได้เต็มที่ แล้วก็เราเอาไว้เป็นของขวัญติดต่อกับหน่อยงานราชการ ไปที่ไหนก็จะดูเป็นของช่อง 3 ซึ่งในอดีตทำเพื่อวัตถุประสงค์นั้น”

และตอนที่บุพเพฯ ภาค2 ที่เป็นเวอร์ชั่นภาพยนตร์ เขาก็ทำ แต่เขาก็จ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ให้เรา ไม่งั้นเราก็ไม่อนุญาตเขาใช่ไหม เพราะตอนนั้นจำกันได้ไหมที่เขาไปทำ Digital token เพื่อที่จะให้คนมาซื้อ อันนี้ของเราก็เหมือนกัน ถ้าเกิดจะมีใครมาซื้อเราก็คงพิจารณาก่อนว่ามันดีมันก็โอเคเราก็ทำ

ก็จะครอบคลุมหมดเลย ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเกิดว่าเขาใช้คาแรกเตอร์ คอสตูม หรือจงใจให้เหมือนก็ของเรา ประโยคหลักทั้งหลายที่อยู่ในสคริปต์ที่พูดถึงกันทั้งบ้านทั้งเมืองก็ของเรา ส่วนชาวบ้านถ้าจะไปแต่งเหมือนก็คือไม่เป็นไรหรอก มันอยู่ที่เจตนา ทุกอย่างคือจบ ถ้ามาคุยกัน แต่ถ้าคนทั่วไปแต่งตัวย้อนยุค ก็ไม่เป็นไร เราไม่ได้แบบคิดเล็กคิดน้อยไม่ขนาดนั้น”

นอกจากนี้คุณสุรินทร์ยังทิ้งท้ายอีกว่า ไม่ได้จดลิขสิทธิ์ทุกเรื่อง และยอมรับว่าถ้ามีการไปก็อปปี้จริงๆ นั่นก็แสดงว่าละครของเราดังจริงๆ
“แล้วแต่เรื่อง เพราะเราทำละครปีหนึ่งหลาย 10 เรื่อง ละครบางเรื่องก็คงไม่ได้จะไปจดอะไร แต่ถ้าเกิดมีคนเอาของเราไปปลอม คือจริงๆ ละครมันต้องดีต้องดัง ถึงจะมีการพูดถึงมีการบอกต่อ”


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *