“รถอีวี” ดาวเด่นเติบโตแบบก้าวกระโดดรับ Mega Trend รัฐบาล นักลงทุนทั้งไทย-เทศ แห่ชิงส่วนแบ่งตลาดอุตสาหกรรมอีวี ปี 66 ทุนจดทะเบียนรวม 22,134.80 ล้านบาท
วันที่ 5 มีนาคม 2567 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเป็นธุรกิจดาวเด่นที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดรับ Mega Trend ของรัฐบาล ซึ่งนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติต่างเข้าสู่ธุรกิจเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดที่ยังมีพื้นที่อีกมาก
ธุรกิจ “รถอีวี” จดทะเบียนร่วม 2 หมื่นล้าน
การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV Industry) พบว่า มีจำนวน 14 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22,134.80 ล้านบาท เป็นนักลงทุนจากประเทศสิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร โดยลงทุนในธุรกิจนายหน้า ค้าปลีกและค้าส่ง อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและ EV Battery 4 ราย ด้วยทุน 310.80 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจ EV Charging Station มีทั้งหมด 3 ราย ด้วยทุน 8,893.34 ล้านบาท ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตอีก 2 ราย ด้วยทุน 371.68 ล้านบาท และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV Industry) จำนวน 5 ราย ด้วยทุน 12,558.99 ล้านบาท
ส่วนกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถ EV มีแนวโน้มการลงทุนจากสัญชาติจีนในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นแบรนด์จากประเทศจีน ซึ่งมีสัดส่วนการผลิตมากและส่งออกมากที่สุดของโลก โดยมีการนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ประมาณ 1% ของสัดส่วนการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดของประเทศจีน
ขณะเดียวกันประเทศจีนก็กำลังเข้ามาขยายฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอีกด้วย นับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศไทยที่จะทำให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้าน และองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีนวัตกรรมการผลิตรถ EV
อีกทั้งธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าและที่เกี่ยวเนื่องประกอบด้วย 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ กลุ่มผู้ผลิตระบบควบคุมไฟฟ้า กลุ่มผู้ผลิตระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และกลุ่มธุรกิจสถานีชาร์จ
กลุ่มผู้ผลิตระบบควบคุมไฟฟ้า
ปัจจุบันมีนิติบุคคลจำนวน 31 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 14,537.19 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ (L) 22 ราย คิดเป็น 70.97% มูลค่าทุนจดทะเบียน 14,480.19 ล้านบาท ผลประกอบการรวม 3 ปีย้อนหลัง
- ปี 2563 รายได้รวม 272,016.67 ล้านบาท กำไรรวม 17,927.72 ล้านบาท
- ปี 2564 รายได้รวม 242,555.67 ล้านบาท (ลดลงจากปี 2563 จำนวน 29,461 ล้านบาท หรือ 10.83%) กำไรรวม 18,237.56 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี 2563 จำนวน 309.84 ล้านบาท หรือ 1.73%)
- ปี 2565 รายได้รวม 282,440.52 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 39,884.85 ล้านบาท หรือ 16.45%) กำไรรวม 22,654.61 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 4,417.05 ล้านบาท หรือ 24.22%)
กลุ่มผู้ผลิตระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ปัจจุบันมีนิติบุคคลจำนวน 122 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 76,674.67 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ (L) 85 ราย คิดเป็น 69.67% มูลค่าทุนจดทะเบียน 71,967.55 ล้านบาท ผลประกอบการรวม 3 ปีย้อนหลัง
- ปี 2563 รายได้รวม 503,394.36 ล้านบาท กำไรรวม 23,776.13 ล้านบาท
- ปี 2564 รายได้รวม 534,036.21 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี 2563 จำนวน 30,641.85 ล้านบาท หรือ 6.09%) กำไรรวม 23,482.56 ล้านบาท (ลดลงจากปี 2563 จำนวน 293.57 ล้านบาท หรือ 1.24%)
- ปี 2565 รายได้รวม 592,925.42 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 58,889.21 ล้านบาท หรือ 11.03%) กำไรรวม 34,728.24 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 11,245.68 ล้านบาท หรือ 47.89%)
กลุ่มธุรกิจสถานีชาร์จ
ปัจจุบันมีนิติบุคคลจำนวน 9 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 31,758.46 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดกลาง (M) 4 ราย คิดเป็น 44.44% มูลค่าทุนจดทะเบียน 31,328.01 ล้านบาท ผลประกอบการรวม 3 ปีย้อนหลัง
- ปี 2563 รายได้รวม 3,191.55 ล้านบาท กำไรรวม 375.78 ล้านบาท
- ปี 2564 รายได้รวม 3,084.07 ล้านบาท (ลดลงจากปี 2563 จำนวน 107.48 ล้านบาท หรือ 3.37%) กำไรรวม 194.64 ล้านบาท (ลดลงจากปี 2563 จำนวน 181.14 ล้านบาท หรือ 48.21%)
- ปี 2565 รายได้รวม 3,029.38 ล้านบาท (ลดลงจากปี 2564 จำนวน 54.69 ล้านบาท หรือ 1.78%) ขาดทุนรวม 52.42 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 247.06 ล้านบาท หรือ 126.94%)
ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตระบบควบคุมไฟฟ้าและกลุ่มผู้ผลิตระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่มีที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของนิติบุคคลส่วนใหญ่อยู่ที่ กรุงเทพมหานคร สัญชาติที่มีการลงทุนมากที่สุด คือ ญี่ปุ่น ซึ่งจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ธุรกิจขนาดใหญ่ในกลุ่มธุรกิจดังกล่าวมีผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรที่ฟื้นตัวได้เร็วกว่าธุรกิจขนาดอื่น ทว่าเมื่อพิจารณาถึงกลุ่มผู้ผลิตระบบควบคุมไฟฟ้าถึงแม้ธุรกิจขนาดเล็กจะมีจำนวนน้อยกว่าแต่สามารถสร้างรายได้และผลกำไรใกล้เคียงกับธุรกิจขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสถานีชาร์จอาจจะยังสร้างรายได้และผลกำไรที่ไม่ดีมากนัก แต่การลงทุนในธุรกิจดังกล่าว เป็นการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีระยะเวลาคืนทุนค่อนข้างนาน จึงต้องจับตามองประสิทธิภาพในการทำกำไรของธุรกิจนี้ต่อไปในอนาคต
“อุตสาหกรรมรถอีวี มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากสาเหตุด้านความผันผวนของราคาน้ำมันหรือปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ผู้บริโภคยุคใหม่ใส่ใจมากยิ่งขึ้น ถึงแม้อุตสาหกรรมจะเผชิญความท้าทายด้านการทำกำไร เนื่องจากราคารถ EV มีแนวโน้มถูกลงจากต้นทุนการผลิตที่ลดลง แต่ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตลอดจนการพัฒนารูปแบบรถ EV ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด ทำให้โอกาสของรถ EV และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมีโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดด และทำกำไรอย่างต่อเนื่องในอนาคต” นางอรมนกล่าว