รวมวิธีรักษา”ข้อเข่าเสื่อม” ทั้งการผ่าตัดและไม่ผ่าตามความรุนแรงของโรค


ดูแลกาย

ข้อเข่าเสื่อมนับเป็นภัยเงียบที่หลายคนมองข้ามแต่รู้หรือไม่คนไทยกว่า 6 ล้านคนต้องเผชิญกับโรคดังกล่าวอย่างทรมาน ซึ่งสามารถบรรเทาอาการด้วยการักษา ทั้งการปรับพฤติกรรม รักษาด้วยวิธีชีวภาพโดยไม่ต้องผ่า หรือบางรายอาจจำเป็นต้องผ่าเข่าเพื่อคืนคุณภาพชีวิต

.ads-billboard-wrapper{display:flex;min-height:250px;align-items:center;justify-content:center}

ข้อเข่าเสื่อม สามารถบรรเทาลงได้ แม้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับข้อเข่าจะไม่สามารถรักษาให้คืนกลับไปสภาพเดิมได้ก็ตาม ซึ่งวิธีการดูแลเพื่อบรรเทาอาการของโรคนี้นั้นมีหลายระดับ สิ่งที่ทำได้โดยผู้ป่วยเอง เช่น

  • การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง
  • การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่สมดุลตามคำแนะนำของแพทย์
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีการกระแทก

สิ่งเหล่านี้คือตัวช่วยชะลอการลุกลามของโรคข้อเข่าเสื่อมไม่ให้รุนแรงกว่าเดิม และช่วยลดอาการปวดของผู้ป่วยได้ แต่หากอาการปวดเข่านั้นยังไม่บรรเทาลง ควรรีบมาพบแพทย์

ข้ออักเสบมีกี่ชนิด และ“ปวดตามข้อเรื้อรัง” เสี่ยงอะไรบ้าง?

กลุ่มเสี่ยงโรคข้ออักเสบ ใครบ้างต้องระวังความรุนแรงของโรคเสี่ยงพิการ

วิธีรักษาข้อเข่าเสื่อมที่เหมาะสม

เมื่อแพทย์ประเมินระดับความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อมแล้ว จะแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับระดับความรุนแรงของโรคของผู้ป่วยเอง เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละรายมีข้อบ่งชี้และข้อจำกัดที่ไม่เหมือนกัน

  • การปรับพฤติกรรม

เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อต้นขาและกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า เพราะกล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะช่วยพยุงข้อเข่า และถ่ายเทน้ำหนักจากข้อเข่ามาที่กล้ามเนื้อได้ดี ทำให้ข้อเข่าไม่ต้องรับน้ำหนักมากจนเกินไป แนะนำให้ผู้สูงวัยออกกำลังกายประเภทที่มีแรงกระแทกต่อข้อเข่าน้อย (Low-Impact Exercise) เช่น ว่ายน้ำ การปั่นจักรยานอยู่กับที่ การเต้นแอโรบิกที่ไม่มีท่ากระโดด การเต้นแอโรบิกในน้ำ หรือการเดิน เป็นต้น อย่างไรก็ตามหากยังอายุไม่มากนัก หรือออกกำลังกายเป็นประจำ ก็อาจจะเลือกเป็นการวิ่งจ๊อกกิ้ง การเดินเร็ว การเต้นแอโรบิกได้ หรือการออกกำลังแบบบอดี้เวทเทรนนิ่งได้นะคะ

  • การรักษาด้วยการใช้ยา

วิธีนี้แพทย์จะพิจารณาให้ยาแก้ปวด ยาต้านการอักเสบ และหรือยาบำรุงข้อเข่าแก่ผู้ป่วยเพื่อลดอาการปวดข้อเข่าที่รบกวนชีวิตประจำวันของผู้ป่วย อาจจะเป็นแบบเม็ด หรือแบบฉีดก็ได้ ทั้งนี้ อาจรวมไปถึงการฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์ในบางกรณีที่จำเป็น

  • กายภาพบำบัด

เพื่อบรรเทาอาการปวดบริเวณข้อเข่า เช่น การทำอัลตราซาวด์ การใช้เลเซอร์รักษา การรักษาด้วยคลื่นสั้น (Shortwave Therapy) การรักษาด้วยเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า (Electrical Stimulation) การประคบด้วยแผ่นร้อนและแผ่นเย็น รวมถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายของผู้ป่วยทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด ซึ่งอาจรวมไปถึงการเสริมสร้างความแข็งแรงและเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าด้วยเช่นกัน

  • การรักษาทางชีวภาพ หรือ Biological Therapy

ซึ่งเป็นเทคนิคทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาอาการผิดปกติของกระดูกอ่อนและน้ำเลี้ยงข้อเข่า โดยสามารถทำได้โดยวิธีดังต่อไปนี้

  • การฉีดน้ำเลี้ยงข้อเข่าเทียม (Hyaluronic acid)

ทำหน้าที่คล้ายกับเป็นสารหล่อชนิดหนึ่งเข้าไป เพื่อบรรเทาอาการปวดและลดอาการฝืดตึงของข้อเข่า โดยมุ่งเน้นรักษาผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม ด้วยการเพิ่มน้ำหล่อลื่นและกระตุ้นสารตั้งต้นผิวข้อเข่า เหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการของโรคข้อเข่าเสื่อม และรักษาด้วยยาแล้วไม่หาย แต่ก็ยังไม่ได้อยู่ในระยะรุนแรงถึงขั้นต้องทำการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อเข่าเทียม ในด้านผลการรักษา จะเห็นผลจากประสิทธิภาพจริงที่ประมาณ 4-6 สัปดาห์ หรืออาจจะนานได้ถึง 6 เดือน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคเป็นรายๆ ไป แต่หากมีภาวะข้อเข่าเสื่อมมากๆ แล้วนั้น การรักษาอาจไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร

นอกจากการใช้กับผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการผ่าตัดแล้ว ยังสามารถใช้ร่วมกับการผ่าตัดผิวข้อเข่าเทียมได้ด้วย เพื่อช่วยปรับสมดุลน้ำในข้อเข่าหลังการผ่าตัดและช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยให้สามารถกลับมาใช้ข้อเข่าที่บาดเจ็บได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากการรักษาด้วยวิธีนี้มีข้อบ่งชี้และข้อห้ามในการใช้อยู่ จึงควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อก่อนจะดีที่สุด

  •  การฉีด Platelet Rich Plasma (PRP)

สารสกัดเกล็ดเลือด จากเลือดของผู้ป่วยเองที่มีความเข้มข้นของ growth factor หรือสารที่ช่วยเร่งกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อโดยธรรมชาติ ช่วยให้บริเวณที่มีการบาดเจ็บดีขึ้น เป็นวิธีที่ได้ผลดี ปลอดภัย มีประสิทธิภาพสูง และมีผลข้างเคียงต่ำ เนื่องจากเป็นสารสกัดจากเลือดของผู้ป่วยเอง เหมาะกับผู้ที่มีอาการข้อเข่าเสื่อม หรือมีการบาดเจ็บของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อบริเวณข้อเข่า

สามารถเห็นผลของการรักษาได้ตั้งแต่ 4-6 สัปดาห์ขึ้นไป ทั้งนี้ เนื่องจากการรักษาด้วยวิธีนี้มีข้อบ่งชี้และข้อจำกัดอยู่ จึงควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อก่อนรับการรักษา

  • การผ่าตัดโดยวิธีส่องกล้อง (Arthroscopic Surgery)

การผ่าตัดรูปแบบหนึ่งของการผ่าตัดแบบแผลเล็กเจ็บน้อย ซึ่งมีข้อดีคือแผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก อีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บต่อกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อข้างเคียง ผู้ป่วยจึงฟื้นตัวไว ทำให้การดูแลหลังการผ่าตัด รวมถึงการทำกายภาพบำบัดทำได้ง่ายกว่าเดิม ส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วขึ้น การผ่าตัดส่องกล้องนั้นทำได้โดยใช้กล้องวิดีโอขนาดเล็กสอดเข้าไปในข้อเข่า และเชื่อมต่อสัญญาณเข้ากับจอภาพทีวี ทำให้เห็นส่วนต่างๆ ภายในข้อเข่าได้อย่างชัดเจน จึงช่วยให้แพทย์ทำการรักษาได้ง่ายขึ้น และรักษาได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น

  • การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Arthroplasty)

อีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดอาการปวด เพิ่มช่วงการเคลื่อนไหวของข้อเข่า และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยที่มีอาการข้อเข่าเสื่อมได้ โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเอาพื้นผิวข้อเข่าที่เสียหายหรือเสื่อมสภาพออก แล้วแทนที่ด้วยชิ้นส่วนโลหะอัลลอยด์ และคั่นระหว่างโลหะด้วยแผ่นโพลีเอทิลีน ทั้งนี้ ก็มีโอกาสที่ข้อเข่าเทียมอาจจะมีสภาพสึกหรอในวันข้างหน้าและทำให้ต้องกลับมาผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมอีกครั้ง ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น การใช้ชีวิตหลังจากผ่าตัด เป็นต้น จากงานวิจัยแล้ว สามารถใช้ข้อเข่าเทียมไปได้อีก 10-20 ปี และโอกาสที่จะต้องผ่าตัดซ้ำอีกครั้งนั้นเกิดขึ้นน้อยมาก

อาการข้ออักเสบระยะแรก รู้ก่อนลดภาวะแทรกซ้อนกระดูกผิดรูป-เสียชีวิต

จะเห็นได้ว่าด้วยวิวัฒนาการและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวไกล ทำให้ผู้ป่วยมีทางเลือกในการรักษาอาการข้อเข่าเสื่อมด้วยวิธีต่างๆ มากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการผ่าตัดเป็นทางออกเสมอไป อย่างไรก็ตาม การป้องกันและดูแลตัวเองก็ยังถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด  โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ซึ่งมีโอกาสเกิดการบาดเจ็บต่อข้อเข่าได้มาก เพียงเท่านี้ก็สามารถถนอมข้อเข่าให้อยู่กับเราไปได้อีกนาน

ข้อมูลจาก : โรงพยาบาลสมิติเวช

ภาพจาก : shutterstock

ข้อเข่าอักเสบและข้อเสื่อมระวังภาวะแทรกซ้อนเสี่ยงติดเชื้อ-ขาโก่ง

3 ระยะข้อเข่าเสื่อม ที่คนอายุน้อยก็เป็นอาการแบบไหนต้องรีบผ่าตัด

วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ

PPSHOP


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *