บิซาน โอวดา วัย 25 ปี เป็นผู้ผลิตภาพยนตร์คนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในฉนวนกาซา
เธอเคยทำงานกับสหประชาชาติในประเด็นเกี่ยวกับสิทธิสตรี ทั้งยังเคยทำงานร่วมกับสหภาพยุโรป ในประเด็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอีกด้วย แต่ทว่างานที่เธอหลงใหลกับมันอย่างแท้จริง คือการถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของผู้คนในดินแดนแห่งนี้
เมื่อวันจันทร์ของสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นเวลาสองวันหลังจากฮามาสบุกโจมตีข้ามพรมแดนและสังหารชาวยิวไป 1,300 ราย บิซานและชาวปาเลสไตน์จำนวนมากที่อาศัยอยู่ในย่านริมัลใจกลางเมืองกาซาซิตี ได้รับข้อความทางโทรศัพท์จากกองทัพอิสราเอล ซึ่งสั่งให้พวกเขารีบอพยพออกจากย่านดังกล่าวไปโดยเร็วที่สุด
บิซานรีบคว้าของใช้ที่จำเป็นลงกระเป๋า เพื่อขนเอาไปให้มากที่สุดเท่าที่จะแบกไหว ก่อนรีบรุดออกจากอะพาร์ตเมนต์ของเธอ พร้อมกับไม่ลืมที่จะถ่ายคลิปวิดีโอไปด้วย
“เจ้าหน้าที่สั่งให้เราไปยังพื้นที่ปลอดภัย” บิซานพูดกับกล้องของโทรศัพท์มือถือ ก่อนกระโดดขึ้นนั่งบนรถแท็กซี่ “แต่ไม่มีที่ไหนปลอดภัยอีกแล้วในฉนวนกาซา”
บิซานมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลชีฟา สถานพยาบาลหลักของเมืองกาซาซิตีที่เต็มไปด้วยผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ ทั้งยังเป็นสถานที่หลบภัยของชาวปาเลสไตน์หลายพันคน ระหว่างการโจมตีของอิสราเอลในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
กลางดึกของคืนนั้น อิสราเอลถล่มโจมตีย่านริมัลอย่างหนัก โดยอ้างว่าสามารถทำลายเป้าหมายซึ่งเป็นที่ซ่องสุมของกลุ่มฮามาสได้กว่า 200 แห่ง แต่ก็ทำให้อาคารบ้านเรือนในย่านดังกล่าวต้องพังพินาศ จนพื้นที่ทั้งหมดราบเป็นหน้ากลอง
ในวันเดียวกัน โยอัฟ กัลลันต์ รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล มีคำสั่งให้ปิดล้อมฉนวนกาซาทั้งหมด โดยตัดการส่งน้ำ อาหาร และเชื้อเพลิง ไม่ให้เข้าถึงดินแดนแห่งนี้โดยเด็ดขาด
เมื่อวันพุธที่ 11 ต.ค. บิซานโพสต์คลิปวิดีโอลงในบัญชีอินสตาแกรมของเธอ โดยเป็นภาพและเสียงขณะที่เธอเปิดขวดน้ำดื่ม พร้อมกับบอกว่า “นี่คือน้ำสะอาดที่ฉันได้ดื่มเป็นครั้งแรกในรอบสามวัน”
เช่นเดียวกับชาวฉนวนกาซาจำนวนมาก บิซานต้องทนอดนอนติดต่อกันมาหลายคืนตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในคลิปวิดีโออีกตอนหนึ่ง เธอเล่าให้ผู้ชมฟังถึงกิจวัตรที่ทำเป็นประจำทุกคืนก่อนเข้านอน
บิซานถอดรองเท้าโดยวางไว้ให้ใกล้ประตูมากที่สุด เพื่อที่จะออกวิ่งยามเกิดเหตุฉุกเฉินได้ทันที เธอยังเตรียมถุงใส่ของใช้จำเป็นขนาดเล็กที่บรรจุเสื้อผ้า แปรงและยาสีฟัน คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป และโทรศัพท์มือถือเอาไว้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉนวนกาซาถูกตัดไฟจนชาวบ้านไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่บิซานและครอบครัวยังโชคดีที่มีเครื่องปั่นไฟขนาดย่อม ซึ่งพวกเขาจะเปิดใช้งาน 2 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อชาร์จแบตเตอรีของโทรศัพท์มือถือและแล็ปท็อป บิซานบอกว่าเธอจำเป็นต้องใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้อย่างยิ่ง แต่น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเดินเครื่องปั่นไฟกำลังใกล้จะหมดลงแล้ว
ในวันศุกร์ที่ 13 ต.ค. บิซานได้รับคำสั่งให้อพยพโยกย้ายอีกครั้ง โดยกองทัพอิสราเอลบอกให้ชาวปาเลสไตน์กว่าหนึ่งล้านคนในทางตอนเหนือของฉนวนกาซา รีบเดินทางลงใต้ในทันที ซึ่งบิซานได้ถ่ายวิดีโอบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ได้ ขณะใบปลิวสีขาวจำนวนมหาศาลถูกโปรยลงมาจากท้องฟ้า
องค์การสหประชาชาติระบุว่า ขณะนี้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาตอนเหนือหลายแสนคน กำลังมุ่งหน้าหนีภัยสงครามไปทางทิศใต้ เนื่องจากเกรงว่าอิสราเอลใกล้จะเปิดฉากถล่มโจมตีอย่างหนักที่เมืองกาซาซิตีและบริเวณโดยรอบ
ทว่าบิซานกับสมาชิกในครอบครัวของเธอที่มีกันถึง 10 คน ยังคงปักหลักอยู่ที่โรงพยาบาลชีฟาต่อไป “ถ้าเราอพยพลงใต้ เราจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลย” บิซานกล่าว
นับตั้งแต่กลุ่มฮามาสก่อเหตุโจมตีชาวยิวอย่างไม่คาดฝัน ทางการอิสราเอลได้สั่งห้ามผู้สื่อข่าวเข้าไปในพื้นที่ฉนวนกาซาโดยเด็ดขาด ทำให้การติดต่อสื่อสารกับผู้คนที่อยู่ในนั้นยากลำบากเหลือแสน จนผู้สื่อข่าวบีบีซีสามารถพูดคุยกับบิซานได้ในช่วงสั้น ๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เรายังคงได้เห็นภาพชีวิตของชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ซึ่งชะตากรรมของพวกเขามีอันต้องพลิกผันเปลี่ยนแปลงไปเพียงในชั่วข้ามคืน จากคลิปวิดีโอของบิซาน
แม้ต้องประสบกับเหตุการณ์ที่เลวร้าย แต่ในตอนท้ายของคลิปวิดีโอ บิซานยังคงยิ้มให้ผู้ติดตามบัญชีอินสตาแกรมของเธอที่มีถึง 180,000 คน พร้อมกับกล่าวอำลา
“นี่คือชีวิตประจำวันของฉัน…ส่วนชีวิตของคุณเป็นอย่างไรบ้าง”
“ราตรีสวัสดิ์ ช่วยสวดภาวนาและขอพรให้พวกเราด้วย”