ในปี 1949 AT&T ถูกรัฐบาลไล่ล่าอีกครั้ง เพราะเป็นเจ้าของซัพพลายเออร์โทรศัพท์เพียงรายเดียวที่สามารถใช้งานกับเครือข่ายของตนได้ โดยบริษัทที่ลูกที่ทำหน้าที่นั้นคือ Western Electric ทำให้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ต้องสั่งให้ AT&T ขาย Western Electric ทิ้งไปในที่สุด
อย่างไรก็ตาม AT&T ยังคงขออนุญาตรัฐบาลให้สามารถซื้อบริษัทโทรศัพท์อิสระเพิ่มเติมได้เรื่อยๆ และในที่สุดเครือข่ายของ AT&T ก็เข้าถึง 90% ของครัวเรือนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นสัดส่วนการตลาดที่ใหญ่เกินไปจนรัฐบาลอยู่เฉยๆ ไม่ได้
ในที่สุดบริษัท AT&T ก็ไม่สามารถหนีข้อกล่าวหาจากรัฐบาลได้อีกต่อไป กระทรวงยุติธรรมได้ตัดสินในปี 1982 ให้ AT&T แตกออกเป็น 7 บริษัทย่อย ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ Baby Bell ประกอบไปด้วย Ameritech ,Bell Atlantic,BellSouth,NYNEX,Pacific Telesis,Southwestern Bell, และ US West ซึ่งทุกบริษัทจะมีพื้นที่ให้บริการของตัวเอง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการด้วยกัน
การถูกแยกเป็น 7 บริษัท คือการทำลายการผูกขาดของ AT&T ที่มีต่อผู้ใช้บริการในสหรัฐอย่างแท้จริง แต่กระนั้น AT&T ก็ยังได้รับอนุญาตให้ทำธุรกิจด้านโทรศัพท์บางส่วนต่อไปได้ ซึ่ง AT&T ก็ยังคงทำกำไรเข้าบริษัทอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้หวือหวาเหมือนตอนที่ยังเป็นผูกขาดการสื่อสารส่วนใหญ่ในประเทศ
ปัจุบันในยุคที่อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ แทนโทรศัพท์บ้าน AT&T ก็ยังคงมีแนวคิดซื้อบริษัทอื่นๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ตัวเอง โดยในปี 2011 AT&T มีความพยายามที่จะควบรวมกิจการโทรคมนาคมของเยอรมนีอย่าง T-mobile แต่ถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เข้ามาล้มดีลเสียก่อน ด้วยเหตุผลว่า การควบรวมครั้งนี้จะลดการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมไร้สายลง ซึ่งทำให้ผู้บริโภคหลายล้านคนไม่มีตัวเลือก และต้องจ่ายค่าบริการที่เพิ่มมากขึ้น แต่คุณภาพการบริการกลับต่ำลง
การล้มดีลครั้งนั้นหลายฝ่ายมอง กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯทำถูกต้องที่ออกมาปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภค ส่วน AT&T ที่พ่ายแพ้ไป ก็ได้เปลี่ยนเกมด้วยการหันไปบุกตลาดสมัยใหม่โดยการซื้อ CNN, HBO, และ Warner Bros แทน ซึ่งแน่นอนว่ามีกระแสต่อต้านจากหลายๆ ฝ่ายเช่นเดิม เพราะ AT&T อาจกำลังหวนกลับไปสู่เส้นทางทุนผูกขาดเหมือนในอดีตหรือเปล่า
ทว่าครั้งนี้ AT&T ซื้อสื่อเหล่านี้ได้สำเร็จ ส่งผลให้ AT&T ในปัจจุบันยังคงเป็นบริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกอยู่ดี
ควบรวม AIS-3BB และ TRUE-DTAC
เมื่อหันมามองการควบรวมระหว่างผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตเจ้าใหม่ในไทย จะพบว่ามีหลายมุมที่ใกล้เคียงกับตัวอย่างที่ยกมาข้างตน โดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เคยโพสเฟซบุ๊ค ตั้งคำถาม ว่า “คนไทยจะยอมทุนผูกขาดไปอีกนานแค่ไหน”
โดย ดร.สมเกียรติ โพสต์ตั้งคำถามในปี 2022 ว่า : ผู้บริโภคและผู้ประกอบการรายย่อยของไทยก็จะเหลือทางเลือกน้อยลง และเสี่ยงต่อการถูกเอาเปรียบโดยทุนใหญ่ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในธุรกิจโรงหนัง ค้าปลีกขนาดใหญ่ โรงพยาบาลและอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะคนจนเท่านั้นที่เดือดร้อน แต่ยังกระทบมาถึงคนชั้นกลางจำนวนมากด้วย
เศรษฐกิจไทยตอนนี้ดูเหมือนเศรษฐกิจอเมริกาในช่วงประมาณ 120-150 ปีที่แล้ว ที่มีการควบรวมบริษัทน้ำมัน บริษัทรถไฟและธุรกิจใหญ่ๆ จำนวนมาก ซึ่งทำให้เกิดการเอาเปรียบประชาชนในวงกว้าง จนภายหลังประชาชนทนไม่ไหวอีกต่อไป ผลักดันให้เกิด “ยุคก้าวหน้า” (Progressive Era) ที่เกิดการต่อต้านทุนผูกขาดในวงกว้าง เรียกนายทุนผูกขาดว่า Robber Baron เสมือนเป็น “โจรปล้นประชาชน” (ตรงกันข้ามกับการอวยว่าเจ้าสัวไทยรวยเพราะมีวิสัยทัศน์ล้ำเลิศ) หรือกระแสพยายามควบคุมทุนใหญ่อีกครั้งในสมัยประธานาธิบดีไบเดนในปัจจุบัน
ส่วน ภคมน ลิซ่า หนุนอนันต์ รองโฆษกพรรคก้าวไกล ตั้งข้อสงสัยถึงการควบรวม AIS-3BB ที่กำลังจะอยู่ในระหว่างการพิจารณาจาก กสทช. โดยโพสต์ไว้ในเฟสบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2023 ว่า ไว้ 3 ข้อดังนี้
จะเกิดอะไรขึ้น กสทช. ปล่อยให้มีการควบรวมอินเทอร์เน็ตบ้าน ระหว่าง AIS และ 3BB?
ข้อ 01. ตลาดอินเตอร์เน็ตบ้าน ที่ปัจจุบันมีผู้เล่น 4 ราย ได้แก่ True, 3BB, NT (TOT เดิม) และ AIS จะเหลือผู้เล่นเพียง 3 ราย โดย AIS+3BB จะกลายเป็นรายใหญ่สุด
ข้อ 2. รวมส่วนแบ่งตลาด AIS (หลังควบรวม) และ True จะคิดเป็นประมาณ 80% หรือพูดง่ายๆ ตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านจะกลายเป็นถูกกินรวบโดย 2 เจ้าใหญ่ เหมือนกับตลาดค่ายมือถือ
ข้อ 3 . บทเรียนจากการอนุมัติให้มีการควบรวมค่ายมือถือระหว่าง True-DTAC แสดงให้เราเห็นแล้วว่ายิ่งปล่อยให้มีเศรษฐกิจมีการผูกขาดอย่างเสรีเท่าไหร่ ราคาที่ประชาชนต้องใช้บริการยิ่งแพงขึ้น สวนทางกับคุณภาพการให้บริการที่ลดต่ำลง
นอกจากนี้ยังเขียนทิ้งท้ายว่า “อย่าปล่อยให้ซ้ำรอยกับกรณีการควบรวม True-DTAC เลย ที่สุดท้ายเงื่อนไขที่ว่าจะลดค่าบริการ-เพิ่มคุณภาพให้ประชาชน ยังทำไม่ได้สักเรื่อง”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง