.twitter-tweet {
margin:auto;
}
.instagram-media{
margin:0 auto!important;
}
.fb-post>span {
max-width: 100%;
}
.d-sm-block {
display: block!important;
}
.d-inline-block {
display: block!important;
}
.fb-post iframe {
border: 0;
display: block;
margin: 0 auto;
max-width: 100%;
}
.in_read_ads_c
{
/* padding-top: 45px; */
/*padding-bottom: 45px; */
padding-bottom: 10px;
padding-top: 10px;
}
.inread-mobile-new
{
/*padding-top: 45px; */
padding-top: 10px;
}
/*เพิ่มมา */
.ad_banner_desktop img {
width: auto;
height: auto;
padding-bottom: 2%;
padding-top: 2%;
}
.ad_banner_mobile img {
width: 0px;
height: 0px;
}
@media only screen and (max-width: 480px) {
.ad_banner_desktop img {
display: none;
}
.ad_banner_mobile img {
width: auto;
height: auto;
padding-bottom: 10%;
}
}
เกิดอะไรขึ้นกับหนังซูเปอร์ฮีโร หรือยุคทองของหนังแนวนี้มาถึงจุดจบแล้ว?
<!–
<!–
–>
<!–
<!–
–>
จากตารางหนังทำเงินในปี 2022 นี่คือครั้งแรกในรอบหลายปี ที่หนังซูเปอร์ฮีโรจากดีซี คอมิกส์ (DC Comics) และมาร์เวล สตูดิโอส์ (Marvel Studios) ไม่ได้ครองตารางหนังทำเงินประจำปี และต้องตกอยู่ใต้ร่มเงาของหนังภาคต่อทุนสูงเรื่องอื่น อย่าง Avatar: The Way of Water, Top Gun: Maverick และ Jurassic World Dominion ที่พากันยึดหัวแถวหนังทำเงินสูงสุดของปีแทน
ปีนี้ (2023) ยังมีหนังภาคต่อเรื่องดังๆ มากมายให้ชม อาทิ The Super Mario Bros. Movie, Fast X และ Transformers: Rise of the Beasts ซึ่งอยู่ในกลุ่มหนังที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง โดยที่ไม่มีตัวละครเจ้าของพลังพิเศษจากหนังสือการ์ตูน ขณะที่รายได้ของหนังซูเปอร์ฮีโรก็ยังไม่ดีขึ้น แม้แอนิเมชัน Across the Spider-Verse จะสานต่อการเป็นงานทำเงินซึ่งเริ่มต้นจากหนังภาคแรกได้ แต่หนังซูเปอร์ฮีโรคนแสดง อย่าง The Flash และ Shazam 2 เป็นเรื่องตรงกันข้าม ส่วนหนังซูเปอร์ฮีโรเรื่องอื่นๆ รายได้ก็น้อยกว่าที่คาด มีทั้งที่ทำเงินอย่างน่าผิดหวังเล็กๆ ไปถึงจัดเต็มที่เรียกว่าหายนะ
Shazam: Fury of the Gods ของดีซี คอมิกส์ คว่ำ The Flash เดินตามรอยมาติดๆ ส่วนหนังจากคู่แข่ง มาร์เวล สตูดิโอส์ ที่เรียกกันว่าจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (Marvel Cinematic Universe -MCU) Ant-Man and the Wasp: Quantumania กลายเป็นหนังในชุดที่ขายตั๋วได้น้อยที่สุด ที่ไม่ใช่งานซึ่งเปิดตัวในช่วงโรคระบาดเล่นงานโรงภาพยนตร์ ส่วนงานพ็อปๆ อย่าง Guardians of the Galaxy Vol. 3 ก็ทำรายได้น้อยกว่าที่มองกันไว้ ล่าสุด Blue Beetle จากดีซี ที่ใช้ทุนสร้าง 104 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำรายได้รวมทั่วโลกเพียง 83.6 ล้านเหรียญเท่านั้น หลังฉายมานาน 15 วัน
ทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นต่อจากความล้มเหลวของ 2 หนังซูเปอร์ฮีโรคว่ำสนิทเมื่อปีที่ผ่านมา Morbius และ Black Adam คำถามก็คือ เกิดอะไรขึ้นกับหนังซูเปอร์ฮีโร ภาพยนตร์ที่เคยเรียกผู้ชม ทำรายได้มหาศาล ทำไมถึงกลายเป็นงานที่ดูซึมเซาอย่างที่เห็น
เสน่ห์ที่จางหาย การกลายเป็นงานสูตรสำเร็จ
เหตุผลที่นำมาใช้อธิบายความล้มเหลวของ The Flash ก็คือ ตัวนักแสดง เอซรา มิลเลอร์ (Ezra Miller) ไม่ได้เป็นที่รักของแฟนๆ อยู่แล้ว แถมเคยโดนข้อหาก่อเรื่องอย่างต่อเนื่องในช่วงฤดูใบไม้ผลิและหน้าร้อนปีที่ผ่านมา (2022) การที่หนังยังใช้เขาในบทนำ ผู้ชมพร้อมจะลืมพาดหัวฉาวๆ แล้วตีตั๋วเข้ามาดูราวกับแสร้งทำว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรือเปล่า? เทคนิคพิเศษด้านภาพของหนังก็ดูไม่ดี แล้วยังมีเรื่องการปรับเปลี่ยนภายในของดีซีที่ทำให้ผู้ชมสับสนอีก จนหนังไม่มีเสน่ห์หรือว่าแรงกระตุ้นให้คนมาซื้อตั๋วชม
ส่วนหนังฮิตเมื่อปีที่แล้ว Avatar: The Way of Water และ Top Gun: Maverick ต่างให้ความรู้สึกว่านี่คือหนังเรื่องสำคัญ ได้คำวิจารณ์ที่ดี บวกแรงเสริมจากงานด้านภาพที่น่าตื่นตาสำหรับเรื่องแรก และงานสตันต์สุดเจ๋งของหนังเรื่องที่สอง ซึ่งขัดกับสิ่งที่หนังทั้งของดีซีและมาร์เวลเผชิญอยู่ เมื่อต่างโดนวิพากษ์วิจารณ์หนักข้อมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ใช้สูตรเก่าๆ เดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่สามารถจัดการกับข้อบกพร่องแบบเดิมๆ ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นมุกแบบจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล, เทคนิคพิเศษด้านภาพกับการจัดแสงแย่ๆ ที่ตกเป็นประเด็นในการสนทนาเมื่อพูดถึงหนังเหล่านี้ ซึ่งหากนำมาเทียบกับ Avatar: The Way of Water หรือว่า Top Gun: Maverick หนังซูเปอร์ฮีโรเหล่านี้ กลายเป็นงานหยาบๆ ดูเป็นหนังเกรดบีมากกว่าจะเป็นหนังเรื่องสำคัญ อย่างที่คาดกัน
ในอดีตหนังจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวลคือการปฏิวัติ เพราะเมื่อ Avengers: Endgame มาถึง ผู้ชมต้องดูหนังทุกเรื่องที่ออกฉาย เพื่อจะได้ซึมซับเรื่องอื่นๆ ในคราวเดียวกัน แต่ทุกวันนี้คนดูสามารถข้ามหนังเรื่องต่างๆ ไปได้ โดยไม่พลาดอะไรเป็นพิเศษ แถมหนังหลายๆ เรื่องมีความสำคัญน้อยกว่าซีรีส์ WandaVision, Loki และอีกหลายๆ เรื่องที่มีให้ชมทางดิสนีย์พลัส (Disney+) ด้วยซ้ำ แล้วถ้าซูเปอร์ฮีโรที่มีความน่าสนใจสุดๆ ไปโผล่ในจอโทรทัศน์ จะไปเสียเงินให้ตัวละครที่มีความสำคัญต่อเรื่องไม่เท่าไหร่ในโรงเพื่อ?
นี่ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับแค่มาร์เวล หนังซูเปอร์ฮีโรภาคต่อทุกเรื่อง ตอนนี้ต้องพึ่งหนังที่ออกฉายก่อนหน้า งานที่เคยเป็นความน่าตื่นเต้นที่เรื่องราวเคลื่อนไปข้างหน้า เลยไม่ได้ไปไหนไกล สำหรับคนดู มันกลายเป็นเรื่องยุ่งยากกับการที่ต้องจำว่า ใน The Avengers มีใครบ้าง, ใครกันที่เป็นโจกเกอร์ (Joker) หรือตกลงแล้ววูลฟ์เวอรีน (Wolverine) ยังอยู่หรือตายไปแล้ว และวีนอม (Venom) อยู่ในจักรวาลไอ้แมงมุมของโซนี หรือว่าจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล หนังซูเปอร์ฮีโรตอนนี้ ดูเหมือนมีเรื่องราวในอดีตมากกว่าปัจจุบัน เป็นงานที่ดูวนไปเวียนมา และบางทีอาจกำลังล้าๆ ไม่ต่างจากผู้ชม
ถึงจะอดคิดไม่ได้ว่า ยุคแห่งความอ่อนล้าของหนังซูเปอร์ฮีโรน่าจะมาถึงแล้ว แต่อย่างน้อยๆ Across the Spider-Verse ก็แสดงให้เห็นว่า หนังซูเปอร์ฮีโรยังมีความน่าตื่นเต้น เมื่อพวกเขามีความกล้าและทำได้ดีในเรื่องของศิลปะ ผิดจาก Shazam 2, Ant-Man 3 และ The Flash ที่ล้วนได้รับเสียงวิจารณ์ที่ย่ำแย่ แล้วยังมาพร้อมความรื่นรมย์แบบเดิมๆ (ที่ดูไม่ดี) อีกต่างหาก
ความแตกต่างที่กลายเป็นของล้นตลาด
หนังซูเปอร์ฮีโรเคยเป็นหนังฮิตและสร้างปรากฏการณ์ในปี 2008 เมื่อ The Dark Knight ขึ้นแท่นหนังทำเงินมากสุดของปี โดย Iron Man ตามมาเป็นที่สอง แต่หนังเรื่องหลังคืองานที่เป็นตัวเปลี่ยนเกม เมื่อเปิดประตูไปสู่จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล ภายใต้การดูแลของเควิน ไฟกี (Kevin Feige) ประธานมาร์เวล สตูดิโอส์ ที่ทำให้ตัวละครคลาสสิกของมาร์เวล มีความสด, ความสนุก และมีตัวตนใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น ธอร์ (Thor) หรือกัปตันอเมริกา (Captain America) ซึ่งตัวละครจะข้ามไปมีบทบาทในหนังของกันและกัน ทีละรายสองราย จนหนังแต่ละเรื่องนอกจากจะให้ความตื่นตาจากทุนสร้างมหาศาล ยังเหมือนหนังตอนย่อย ที่ค่อยๆ ขยับขยายกลายเป็นมหากาพย์ ที่ตกผู้ชมได้จังๆ
ความสำเร็จของมาร์เวล ทำให้สตูดิโออื่นๆ ที่ถือสิทธิ์ในตัวละครของมาร์เวลตระหนักได้ว่า ได้เวลาพาตัวละครเหล่านี้กลับขึ้นจอได้แล้ว ทะเว็นตีธ์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ (Twentieth Century Fox) ปลุกชีวิตหนังชุด X-Men ขึ้นมาใหม่ พยายามคืนชีพให้ Fantastic Four โซนีบูตเครื่อง Spider-Man อีกหน ทั้งๆ ที่โทบีย์ แม็กไกวร์ (Tobey Maguire) เพิ่งแขวนใยแมงมุมได้ไม่กี่ปี ส่วนวอร์เนอร์ บราเธอร์ส (Warner Bros) ที่ถือสิทธิ์ตัวละครของดีซี คอมิกส์ คู่แข่งของมาร์เวล ก็วางแผนสร้างจักรวาลของตัวเอง จนโรงหนังอัดแน่นไปด้วยหนังซูเปอร์ฮีโร
บางทีสาเหตุที่ทำให้หนังแนวนี้มีค่าเกินจริง อาจเป็นเพราะมาร์เวลทำได้ดีเกิน ต่อให้มีหนังที่ล้มเหลวอย่าง Fantastic Four และ Green Lantern แต่ใครจะจำได้ เมื่อในภาพรวมหนังแนวนี้ล้วนบินไปสู่จุดสูงสุดของความนิยม โดยจุดสุดยอดอยู่ที่ Avengers: Infinity War (2018) กับ Avengers: Endgame (2019) ที่พาตัวละครของมาร์เวลมาอยู่ในเรื่องเดียวกัน เป็นบทสรุปของเรื่องที่เล่ากันมานานเป็นทศวรรษ แล้วยังเป็นการอำลาของสองตัวละครโปรดของแฟนๆ ไอออน แมน ของโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Robert Downey Jr) และกัปตันอเมริกาของคริส อีแวนส์ (Chris Evans)
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้ชม “เบื่อ” หนังซูเปอร์ฮีโรแล้วใช่ไหม? และคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจภาพยนตร์ก็คือ ใช่! “เคยมีหนังมาร์เวลให้ชมเรื่องละปี บางปีก็มี 2 เรื่อง แล้วก็มีหนังดีซีอีกเรื่องให้ดู” หนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของสตูดิโอรายหนึ่งกล่าว “แต่ตอนนี้ปีๆ หนึ่งมีให้ชมมากมาย ซึ่งทำให้สูญเสียความน่าสนใจไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการแยกไปทำงานลงสตรีมิง เช่น The Peacemaker และ Moon Knight”
นับตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของยุค 2010 เห็นได้ชัดว่า หนังซูเปอร์ฮีโรอยู่บนเส้นทางการ “ยึด” อันดับหนังทำเงิน หนังมาร์เวลมากมายครองอันดับหนังทำเงิน ทำรายได้เป็นล้านๆ เหรียญสหรัฐในตลาดต่างประเทศ ส่วนจักรวาลที่แผ่ออกไปของดีซี (DCEU – DC Extended Universe) ก็มีงานที่ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน เช่น Wonder Woman, Aquaman และ Batman v Superman
หากมันก็นำปัญหาตามมา เมื่อหนังซูเปอร์ฮีโรกลายเป็นงานที่ล้นตลาด โดยเฉพาะเมื่อโรงภาพยนตร์ (และสตูดิโอ) เปิดตัวหนังซูเปอร์ฮีโรเรื่องแล้วเรื่องเล่าติดๆ กัน ทำให้ผู้ชมมองหาบางอย่างที่แตกต่าง จนหนังแนวนี้ไม่ใช่งานที่ครองอันดับหนังทำเงินอีกต่อไป เมื่อหนังทำเงินเป็นพันๆ ล้านเหรียญสหรัฐ กลายเป็น Avatar: The Way of Water หรือ Barbie ในปีนี้ ที่เหนียวแน่นในอันดับหนังทำเงินมาเป็นเดือน ส่วนหนังซูเปอร์ฮีโรที่ทำอะไรแบบนี้มาเป็นสิบปีหรือมากกว่านั้น ทำให้ตัวเอง “อิ่มตัว” เกินกว่าที่ผู้ชมจะให้ความสนใจ
อนาคตที่ไม่แน่นอนของทั้งสองจักรวาล
ความล้มเหลวของ Blue Beetle ทั้งๆ ที่ได้เสียงวิจารณ์ที่ดี นอกจากการเจอคู่แข่งที่ยังแรงอยู่ อย่าง Barbie และ Oppenheimer ที่เปิดตัวมาร่วมเดือนแล้ว ตัวละครก็ไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโรพ็อปๆ เมื่อเทียบกับซูเปอร์ฮีโรดีซีรายอื่นๆ ต่อให้ตัวหนังจะ “ดี” กว่าหนังเรื่องหลังๆ ของดีซี ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ อนาคตที่ไม่แน่นอนของหนังดีซี หลังการเข้ามารับงานของเจมส์ กันน์ (James Gunn) ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ปล่อย Black Adam ออกฉาย และไม่ประสบความสำเร็จเรื่องรายได้ เพราะมีการประกาศว่ากันน์จะอัปเครื่องหนังดีซีทั้งหมดใหม่ ส่งผลให้สถานการณ์ภาพยนตร์ของดีซีย่ำแย่มาตลอด โดยจักรวาลดีซีที่อยู่ในการดูแลของกันน์ จะไม่มีหนังออกฉายจนปี 2025 นั่นหมายความว่า หนังดีซีทุกเรื่องที่ปล่อยออกก่อนปีนั้น จะไม่เกี่ยวพันกับจักรวาลที่กำลังเดินเครื่องกันใหม่
เมื่อตัวละครไม่มีอนาคตชัดเจน ทำให้แฟนๆ มองข้ามด้วยความรู้สึกว่า การไปดูหนังที่อนาคตไม่แน่นอน เป็นเรื่องเสียเวลาและเผาเงินไปเปล่าๆ ปลี้ๆ เมื่ออาจไม่มีอะไรต่อเนื่องตามมา ไม่ว่าจะเป็นภาคต่อหรือมีส่วนร่วมกับหนังเรื่องอื่นๆ ในจักรวาลเดียวกัน ไม่มีหนังดีซีเรื่องไหนๆ มีความสำคัญอีกต่อไป จนกว่างานอัปเครื่องใหม่โดยกันน์ออกฉาย ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกันกับที่หนังของดีซีเรื่องอื่นๆ เจอ
มาร์เวล สตูดิโอส์ก็มีความไม่แน่นอนของอนาคตเช่นกัน แต่เป็นคนละประเด็น เมื่อหนังในเฟสต่อไป ซึ่งเป็นเฟสที่ 4 อ่อนกำลังลงและเป้าหมายไม่ชัดเจน ราวกับอยู่ในสภาพแฮงก์หนักหลังปาร์ตีแบบสุดๆ มาเมื่อคืนก่อนทั้งคืน การปิดจบเรื่องราวที่เป็น “Infinity Saga” มีการจากลาของสองตัวละครที่เล่นโดยสองนักแสดงที่มีเสน่ห์มากที่สุด การเป็นงานสูตรสำเร็จ งานที่คุ้นเคยของหนังก็แสดงออกมาชัดเจนยิ่งขึ้น
ถ้าบอกว่า ตัวละครที่เป็นที่รักหมดสต็อค ก็คงไม่ผิด ไอ้แมงมุมอาจมีคนมาเล่นมากกว่าหนึ่งคนในเวลาราวๆ 2 ทศวรรษได้ แต่ไอออนแมนกับกัปตันอเมริกา มีความเป็นเนื้อเดียวกันกับนักแสดง ดาวนีย์และอีแวนส์สร้างตัวละครที่มีความเป็นตัวเขาเองขึ้นมา และคงไม่เข้าท่าหากคัดเลือกนักแสดงคนใหม่มาเล่นแทนตอนนี้ แล้วมีตัวละครอะไรเหลือในกรุบ้าง? มาร์เวลคงต้องควานไปถึงก้นถัง แล้วก็ได้ The Marvels และ Thunderbolts โซนีเองก็วางแผนสร้างหนังตัวละครแถวสองใน Spider-Man เช่น คราเวน เดอะ ฮันเตอร์ (Kraven the Hunter) และมาดาม เว็บ (Madame Web) ไปๆ มาๆ มาร์เวลหรือรวมถึงดีซีด้วย อาจไม่มีวัตถุดิบจำนวนอเนกอนันต์อย่างที่พวกเขาเคยบอกเอาไว้
อนาคตของหนังซูเปอร์ฮีโร
สิ่งที่เกิดขึ้นอาจมองว่าเป็นลางร้ายสำหรับหนังซูเปอร์ฮีโรคนแสดงเรื่องต่อๆ ไปที่จะออกฉายในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น The Marvels, Aquaman and the Lost Kingdom และ Kraven the Hunter เห็นได้ชัดว่ามีชื่อที่คุ้นเคยแค่ 2 เรื่อง แต่ถ้าถามว่าเรื่องไหนที่โดดเด่นเป็นพิเศษ คำตอบคือไม่มี หลังพึ่งพาสูตรเดิมในการสร้างและขายหนัง สตูดิโอเหล่านี้คงต้องคิดใหม่ทำใหม่ เมื่อผู้ชมต้องการอะไรมากกว่าเดิมจากสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคย ซึ่งเมแกน คอลลิแกน (Megan Colligan) ประธานของไอแม็กซ์ เอนเตอร์เทนเมนต์ (IMAX Entertainment) บอกว่า “หนังซูเปอร์ฮีโรยังคงเป็นรากฐานสำคัญต่อไป เมื่อมีฐานแฟนๆ มากมายไปทั่วโลก” หนังอย่าง Guardians of the Galaxy Vol. 3, Spider-Man: Across the Spider-Verse และ Aquaman and the Lost Kingdom ถูกมองว่าจะช่วยดึงรายได้ของหนังแนวนี้ได้จริง แต่ร็อบบินส์ก็มองว่า “ไม่มีเรื่องไหนเลยที่จะกลายเป็นหนังอันดับ 1 ของปีในทันที”
ถึงสถานการณ์จะดูถดถอย พวกเขาก็ยังไม่หายไปไหน ปีที่แล้วมีหนังซูเปอร์ฮีโรติดท็อปเท็นหนังทำเงินมากสุดทั่วโลกถึง 4 เรื่อง Spider-Man: No Way Home คือหนังทำเงินสูงสุดของปี 2021 และ Spider-Man: Across the Spider-Verse ก็ยังคงมาตรฐานเดิมๆ ของตัวเองเอาไว้ได้ แล้วการที่เจมส์ กันน์มีแผนปล่อยหนังซูเปอร์ฮีโรของค่ายดีซีใหม่ หนังแนวนี้ยังคงอยู่บนเส้นทางของการกลับมาแบบผู้ชนะ เช่นเดียวกับที่ตัวละครในเรื่องแสดงให้เห็น แต่จะน่าตื่นเต้นในแบบเดียวกับที่หนังมาร์เวลเรื่องแรกๆ เคยทำได้ไหม? คงต้องเป็นงานในแบบเหนือมนุษย์จริงๆ เชื่อหรือเปล่าว่า คำว่า “ความอ่อนล้าของหนังซูเปอร์ฮีโร” ถูกตราขึ้นมาตั้งแต่ปี 2011 และในปีนี้ (2023) คอหนังทั้งหลายในทุกแห่งหนก็คงรู้รสชาติของมันแล้ว
ยุคของการเปลี่ยนผ่าน
ปีที่ผ่านมา (2022) ถูกมองว่าเป็นปีที่มีการเปลี่ยนผ่านเกิดขึ้น เมื่อหนังซูเปอร์ฮีโรทำไม่ได้อย่างที่เคยเป็น นักวิเคราะห์ต่างให้ความเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาน่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2020 แล้ว แต่โรคระบาดทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก ภาวะร่วงหล่นของหนังซูเปอร์ฮีโรที่เป็นไปในปี 2022 ถูกคาดกันว่าจะเกิดขึ้นในปี 2020 หลังจากปี 2019 ที่ดิสนีย์ (Disney) ครองธุรกิจภาพยนตร์ด้วยรายได้ถึง 12 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากรายได้รวมของธุรกิจภาพยนตร์ทั่วโลก 41 พันล้านเหรียญสหรััฐ ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นคือรายได้จากหนังมาร์เวล
คีโอ โฮดารี (Cheo Hodari) อดีตนักข่าวสายธุรกิจบันเทิง ที่เป็นผู้ดูแลรายการทางโทรทัศน์ เช่น Luke Cage, Ray Donovan มองว่า ที่สุดแล้วฮอลลีวูดก็ได้เรียนรู้บทเรียนที่ถูกต้องจากการครอบครองวัฒนธรรมพ็อปของจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล “The Avengers เปิดตัวออกมา แล้วทุกคนก็พยายามสร้างจักรวาลที่เชื่อมเข้าด้วยกัน แต่ความสำเร็จของมาร์เวลเป็นเรื่องที่มีความพิเศษเฉพาะอยู่ในตัวเอง ซึ่งในท้ายที่สุดฮอลลีวูดก็คิดได้” เขาบอกกับเดอะ แวร็ป (TheWrap) ส่วนนักวิเคราะห์บางรายบอกว่า จักรวาลมาร์เวลประสบความสำเร็จเพราะ “ไม่กลัวการยอมรับความมีลักษณะเฉพาะตัว กระทั่งความแปลกประหลาด ที่มีอยู่ในหนังสือการ์ตูน” และอุตสาหกรรมภาพยนตร์ก็พยายามนำแนวคิดนี้ไปใช้กับหนังชุดเรื่องอื่นๆ ซึ่งถ้าออกมาใช้ได้ ผู้ชมก็จะเข้ามาหาเอง และฮอลลีวูดก็ต้องไม่พยายามปรับแต่งหรือสร้างลักษณะพิเศษให้กับสินทรัพย์ที่ตัวเองมีอยู่
ในปี 2022 หนังภาคต่อฮิตๆ ทั้งหลาย ล้วนเป็นงานที่ “รับรู้ไม่ได้จากที่อื่น” นอกจากบนจอใหญ่ เมื่อมีทั้ง แพนดอรา (Pandora), ไดโนเสาร์ (dinosaurs), นักบินเครื่องบินขับไล่ ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตัวละครจากหนังสือการ์ตูนเลย “ตัวละครมากมายเหล่านี้ ต่างเป็นฮีโรที่ไม่มีพลังพิเศษในตัว” ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็น แต่ก็ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ในหนังภาคต่อหลายๆ เรื่อง เช่น John Wick หรือ Mission: Impossible อย่างน้อยต่างก็มีลักษณะของการเล่าเรื่องในแบบหนังสือการ์ตูน
อนาคตของหนังซูเปอร์ฮีโร หรืออย่างน้อยของจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล ที่ยังมีผลงานให้ชมอย่างต่อเนื่องจะเป็นยังไง ชอว์น ร็อบบินส์ (Shawn Robbins) นักวิเคราะห์ของบ็อกซ์ ออฟฟิศ โปร (Box Office Pro) ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้า Avengers: Endgame เป็นจุดเปลี่ยนที่เป็นก้าวกระโดดสำหรับผู้ชม มาร์เวลจะกลายเป็นหรืออาจกลายเป็น หนังภาคต่อ “สำหรับแฟนๆ” มากขึ้น แต่มีเพดานรายได้ก้อนมหึมา ไม่ต่างจากหนังชุด The Twilight Saga หรือว่า Harry Potter กระทั่ง Hunger Games
“มันจะเหมือนงานภาคต่อของพวกหนังผู้ใหญ่วัยเยาว์ (Young Adult) พวกนั้นไหม?” ร็อบบินส์ตั้งคำถาม “หรืออาจกลายเป็นงานแบบ Star Wars ที่มีจุดสูงสุดทางประ่้วัติศาสตร์ที่สำคัญของตัวเอง พร้อมๆ กับเป็นหนังระดับปรากฎการณ์ของปรากฏการณ์ อย่าง การมาถึงของ Avengers: The Kang Dynasty เวลาและความเป็นไปในเฟสที่ 5 ของจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล จะทำให้คำตอบเรื่องนี้กระจ่างชัด”
มองแง่นี้ หนังของทั้งมาร์เวลและดีซียังคงทำได้ดี แต่หลังจากนั้นความสนใจที่มีต่อหนังแนวนี้ ของคนดูทั่วไปจะค่อยๆ ลดลง ผู้ชมจะเลือกดูหนังเรื่องอื่นๆ เพื่อการผ่อนคลายในโรงภาพยนตร์ สถานการณ์จะกลับไปสู่ในช่วงก่อนปี 2018 ที่ต่อให้หนังมาร์เวล-ดีซีทำเงิน แต่หนังภาคต่อเรื่องอื่นๆ ทำเงินได้มากกว่า The Twilight Saga: Breaking Dawn part II ทำรายได้ 830 ล้านเหรียญสหรัฐทั่วโลก ส่วนหนังทำเงินเรื่องอื่นๆ ก็มี Skyfall – รายได้ 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ, Lincoln – 276 ล้านเหรียญสหรัฐ และ Life of Pi – 610 ล้านเหรียญสหรัฐ
สิ่งที่ได้เห็นในปี 2023 บางทีไม่ใช่ภาวะถดถอยในอันดับหนังทำเงินของหนังซูเปอร์ฮีโรจากหนังสือการ์ตูน แต่เป็นเรื่องผู้เล่นในสนาม ที่มีพื้นที่ให้กับหนังทุนสร้างหวังรายได้งามๆ เรื่องอื่นได้ประสบความสำเร็จบ้าง “สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ความหลากหลายของภาพยนตร์” คอลลิแกนย้ำ “ผู้ชมต้องการตัวเลือกและมักตอบสนองต่อผลงานที่ทำมาเป็นอย่างดี นำเสนอเรื่องราวในวงกว้าง การเล่าเรื่องที่ดูยิ่งใหญ่ ซึ่งนั่นคือองค์ประกอบสำหรับธุรกิจภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จ”
ซึ่งเป็นสิ่งที่หนังซูเปอร์ฮีโรในอดีตเคยทำได้ ก่อนจะกลายเป็นความคุ้นชินในทุกวันนี้
WATCH
ที่มา: SOURCE 1 / SOURCE 2 / SOURCE 3 / SOURCE 4
#fb-post {
width: auto;
height: auto;
overflow: hidden;
}
#fb-post iframe {
display: inline;
margin: 5px 5px;
float: center-left;
width: auto;
border-radius: 2px;
}
<!–
<!–
–>
.dm__playlist-title{
font-family: ‘MrEaves_VOGUE_TH_Bd’ !important;
font-size: 1rem !important;
}
.dm-playlist {
–dm-playlist-bg : inherit;
–dm-playlist-color: inherit;
–dm-playlist-info-bg : #ededed;
margin-top: 10px;
}
.dm__playlist-slide{
width: 175px;
}
.dm-playlist .prev, .dm-playlist .next{
min-width: auto;
border: none !important;
}
.dm__playlist-active .dm__playlist-cont-thumbnail:after,
.dm__playlist-active+.dm__playlist-slide .dm__playlist-cont-thumbnail:after{
display: none;
}
.dm__playlist-active .dm__playlist-duration,
.dm__playlist-active+.dm__playlist-slide .dm__playlist-duration {
background: rgba(0,0,0,0.6) !important;
}
<!–
WATCH
.dm__video-title{
display: -webkit-box !important;
/* -webkit-box-orient: vertical; */
-webkit-line-clamp: 2;
white-space: normal;
overflow: hidden;
padding: 0 !important;
margin: 12px 12px !important;
font-size: 1.3rem !important;
font-family: “MrEaves_VOGUE_TH_Bd” !important;
text-align: center !important;
line-height: 1.5rem;
}