ศรีนานาพร เปิดเกมรุกต้นปี 2567 ขยายพอร์ตฯ ธุรกิจใหม่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ภายใต้แบรนด์ “เจเล่ฟิตต์” เจาะตลาดพรีเมี่ยมแมส พร้อมเดินหน้าทำการตลาดผ่าน KOL สาย HCP และสายไลฟ์สไตล์ คาดผลักดันยอดขายโตระดับดับเบิลดิจิต
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP เปิดเผยว่า ตลาดอุตสาหกรรมเสริมอาหารในไทยมีมูลค่ากว่า 8.7 หมื่นล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 10% ในปี 2566 ถ้าแบ่งตลาดอาหารเสริมในไทยตามคุณประโยชน์ กลุ่มอาหารเสริมที่เน้นคุณโยชน์สุขภาพโดยรวมมีสัดส่วนถึง 29% หรือประมาณ 25,230 ล้านบาท
“จากการศึกษาพฤติกรรมและมุมมองของผู้บริโภคต่อสินค้ากลุ่มอาหารเสริมในประเทศไทย ทำให้ทราบถึงความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละช่วงอายุว่า มีความต้องการอาหารเสริมในปริมาณที่ไม่เท่ากัน”
ทั้งนี้ จากผลวิจัยดังกล่าวทางบริษัทฯ จึงกำหนดกลยุทธ์เป็น New S-Curve ของ SNNP เพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2567 ด้วยการลงทุนพัฒนาสินค้าใหม่ในกลุ่มของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ภายใต้แบรนด์ เจเล่ฟิตต์ ที่ออกแบบมาให้ฟิตต์แต่ละช่วงวัย ซึ่งยังไม่มีใครนำเสนอในตลาด และเป็นครั้งแรกที่ SNNP วางตลาดสินค้าอาหารเสริมในตลาด premium mass market
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ เจเล่ฟิตต์ ที่ถูกพัฒนาเพื่อให้เหมาะกับคนแต่ละช่วงอายุที่แตกต่างกัน จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงวัย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สำหรับวัย 20-29 ปี, สำหรับวัย 30-39 ปี และสำหรับวัย 40-49 ปี ซึ่งจากการวิจัย Jele Fitt ชนะใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี โดยมากกว่า 80% ของคะแนนความชอบโดยรวมมีความชื่นชอบในรสชาติของผลิตภัณฑ์กว่า 80%
ในส่วนของการสื่อสารการตลาด บริษัทฯ ได้จัดทำหนังโฆษณาออนไลน์ โดยมีการแจกสินค้าตัวอย่างให้กลุ่มเป้าหมายตามมหาวิทยาลัย และ office building รวมไปถึงการจัดวางสินค้าให้โดดเด่นบนชั้นวางสินค้าด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ยังได้ทำการสื่อสารผ่าน KOL สาย HCP (บุคลาการทางการแพทย์) และสายไลฟ์สไตล์ ที่ได้มีโอกาสทานผลิตภัณฑ์จริงๆ มาแบ่งปันประสบการณ์การทาน โดยได้เปิดห้องให้ความรู้ผ่านรายการ Fitt Talk by Jele Fitt ซึ่งเป็น social club ที่จะเปิดให้มีการพูดคุยในทุกปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพที่ตั้งใจออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับแต่ละช่วงวัย
ทั้งนี้ จากแผนการตลาดดังกล่าวคาดว่าจะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว่า 80% โดยสินค้าสำหรับ 1 ซอง บรรจุ 27 กรัม ราคาจำหน่ายจะอยู่ที่ซองละ 15 บาท ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ตั้งแต่วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป
นายวิโรจน์ กล่าวย้ำว่า สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้มองว่าจะยังคงอยู่ในช่วงชะลอตัว ซึ่งเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการที่จะต้องหากลยุทธ์มาขับเคลื่อนให้ธุรกิจมีการเติบโต ซึ่งจากกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปีนี้ของบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถทำรายได้เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก
โดยผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2566 มีกำไรสุทธิ 636 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120 ล้านบาท หรือ 23% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ส่วนรายได้รวม 6,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 445 ล้านบาท หรือ 8% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 5,604 ล้านบาท โดยปัจจุบันภาพรวมตลาดขนบขบเคี้ยวในไทยมีการเติบโตเฉลี่ย 3-5% มีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 43,000 ล้านบาท