.fb-comments,.fb-comments span,.fb-comments span iframe[style]{min-width:100%!important;width:100%!important}
เป็นสิว หน้าโทรม หายยาก อยากหาวิธีรักษาแบบเห็นผล หน้าใสแบบเป็นธรรมชาติ เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูดีขึ้น เลือกทำที่คลินิกดีกว่าจริงมั้ย ต้องเลือกวิธีไหนถึงจะเห็นผล ใครที่มีคำถามเหล่านี้อยู่ บทความนี้จะมาไขความลับการดูแลผิวหน้าให้มีสุขภาพดีแบบไม่กั๊ก
ต้นเหตุปัญหาผิวที่ทำให้ผิวดูโทรม
-โดนแสง UV ทำร้ายผิวจนเกิดความหมองคล้ำ ฝ้า กระ
-อายุที่เพิ่มขึ้น เกิดการเสื่อมของคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว
-การล้างหน้าไม่สะอาด ทำให้ผิวเสีย เกิดการอุดตันในรูขุมขน
-พักผ่อนไม่เพียงพอ ผิวไม่ได้รับการฟื้นฟู ซ่อมแซมที่เหมาะสม
-ไม่ใช้ครีมบำรุงผิว หรือเลือกใช้ครีมบำรุงที่ประสิทธิภาพต่ำ
-อยู่ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เกิดสิวและผิวมัน
-ไม่เคยใช้สครับช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว
-สุขภาพร่างกายและจิตใจไม่ดี มีโรคที่ส่งผลให้ผิวหน้าโทรม
เช็กลิสต์ผิวหน้าโทรมที่ควรรักษา
เมื่อมีผิวโทรม หรือเกิดปัญหาผิวควรเริ่มกลับมาดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาผิวลุกลามกว่าเดิมจนรักษาได้ยาก ซึ่งมีลักษณะตามนี้
-ผิวหมองคล้ำ ขาดออร่าจากภายใน
-มีสิวประเภทต่างๆ ขึ้นบนใบหน้า
-เกิดริ้วรอย ฝ้า กระ ความเหี่ยวย่น
-ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น
ผิวหน้าใสมีข้อดีอย่างไร?
- เสริมบุคลิกภาพให้ดูน่าเชื่อถือ
- สร้างความประทับใจแรกพบต่อคนแปลกหน้า
- ช่วยเสริมลุคให้ดูอ่อนเยาว์ตรงกับอายุจริง
- เสริมหน้าที่การงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องถ่ายรูป หรืองานในวงการบันเทิง
- สร้างความมั่นใจ กล้าเผยผิวโดยไม่ต้องแต่งหน้า
อยากมีผิวหน้าใสต้องดูแลอย่างไร?
การดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดีเบื้องต้นช่วยให้ผิวหน้าใสขึ้นได้ เป็นวิธีทำให้หน้าใสไร้สิวแบบธรรมชาติแต่ก็ให้ผลลัพธ์ดีเมื่อทำอย่างต่อเนื่องจนเป็นกิจวัตร มีทั้งหมด 7 วิธีด้วยกัน
- ใช้ครีมบำรุงผิว
ครีมบำรุงผิวที่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์และซึมเข้าสู่ผิวได้ง่ายจะช่วยเติมน้ำให้ผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นอย่างเป็นธรรมชาติ ผิวหน้าแข็งแรง ไม่เป็นสิว หรือเกิดปัญหาผิวง่าย
- หมั่นสครับผิวหน้าทุกสัปดาห์
ผิวหน้าที่ไม่ถูกสครับเลยจะมีการสะสมเซลล์ผิวเก่า หรือสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน ทำให้ผิวดูหมอง โทรม ไม่เปล่งประกาย การเลือกใช้สครับที่ดี 1 – 2 ครั้งต่อสัปดาห์จะช่วยให้ผิวใสยิ่งขึ้น
3. รับประทานวิตามินซี
ในวิตามินซีจะมีสารต้านอนุมูลอิสระ มีความจำเป็นกับร่างกาย สามารถซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวได้ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ผิวกระชับ ยืดหยุ่นขึ้น ดูกระจ่างใสจากภายใน
4. ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ
การดื่มน้ำนอกจากช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ขับถ่ายง่ายแล้ว ยังช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวดูสุขภาพดี ทำให้เลือดไหลเวียนดี ผิวจึงสวยขึ้นตาม
5. หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและอาหารรสจัด
การกินน้ำตาลมากเกินไป หรือกินอาหารรสจัดเป็นประจำจะทำให้ร่างกายสูยเสียคอลลาเจนและน้ำในผิว ทำให้ผิวดูโทรมง่าย แก่กว่าวัยนั่นเอง
6. พักผ่อนให้เพียงพอ
เมื่อร่างกายอยู่ระหว่างนอนหลับจะเกิดการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสีย โดยเฉพาะการนอนตั้งแต่ช่วง 4 ทุ่มที่เป็นช่วงที่ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ควบคุมการเจริญเติบโต (Growth Hormone) ออกมา จะช่วยให้ผิวคงความอ่อนเยาว์ได้
7. ออกกำลังลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายจะทำให้เลือดไหลเวียนดียิ่งขึ้น ช่วยให้หน้าใสแบบเป็้นธรรมชาติ สามารถเลือกประเภทการออกกำลังกายได้ตามใจชอบ แต่ควรออกอย่างน้อยวันละ 30 – 40 นาที สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง
ทำไมการดูแลผิวปกติถึงเห็นความเปลี่ยนแปลงช้า?
เนื่องจากการจะมีผิวสุขภาพดีได้อาศัยหลายปัจจัยด้วยกัน ทั้งการดูแลตัวเอง ปัจจัยภายใน สิ่งแวดล้อม มาเกี่ยวข้อง ซึ่งบางครั้งไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด การดูแลด้วยวิธีปกติจึงใช้ระยะเวลานานกกว่าจะเห็นความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในคนที่มีอายุมากขึ้น หรือมีปัญหาผิวเยอะ จะยิ่งเห็นผลลัพธ์ช้า
ทำผิวหน้าใสที่คลินิก เลือกวิธีไหนดี?
การรักษาที่คลินิกผิวหน้า จะช่วยให้ให้ผิวเปลี่ยนแปลงได้ไว เห็นความกระจ่างใสได้มากกว่าการดูแลด้วยตนเองเพียงอย่างเดียว ซึ่งเหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวที่แก้ยาก ไม่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตได้ หรือคนที่ผิวเสียจากอายุที่มากขึ้น มี 4 วิธีที่เป็นที่นิยมด้วยกัน
- เลเซอร์หน้าใส
วิธีนี้จะเป็นการใช้เครื่องเลเซอร์ Dual Yellow มายิงบริเวณผิวหน้าเพื่อจับเม็ดสีที่มีความผิดปกติ แล้วยังยั้งไม่ให้ลุกลามกว่าเดิม ซึ่งสามารถช่วยลดความหมองคล้ำ กระตุ้นการผลัดเซลล์ได้ ผิวหน้าจะดีขึ้นหลังทำในครั้งแรก แต่จะไม่สามารถคงสภาพได้อย่างถาวร ควรมีการทำซ้ำเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
เหมาะกับใคร : คนที่ผิวหมองคล้ำ มีริ้วรอยบางๆ ต้องการผิวกระจ่างใส ดูสุขภาพดีขึ้น
2. เลเซอร์ลดรอยสิวและหลุมสิว
สำหรับคนที่เป็นสิวบ่อย เพิ่งหายจากสิว แต่ทิ้งรอยแดง รอยดำ หรือหลุมสิวไว้ ไม่หายสักที การทำเลเซอร์ประเภทนี้จะสามารถช่วยให้หายไวขึ้น โดยใช้เครื่อง Picoway Laser ซึ่งมีประสิทธิภาพในการปรับสภาพผิวให้กระจ่างใส ลดรอยสิว และช่วยให้ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอกันได้ดี แต่ต้องทำซ้ำหลายครั้งอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผลลัพธ์แบบมีประสิทธิภาพ
เหมาะกับใคร : คนที่เป็นสิวบ่อย มีรอยสิวที่แก้ไม่หาย ต้องการรักษาแบบเห็นผล
3. ฉีดวิตามินหน้าใส
วิธีนี้จะเหมาะกับคนที่ไม่ได้มีปัญหาผิวหนัก แต่ต้องการเพิ่มความกระจ่างใส ให้ผิวแข็งแรง มีออร่ามากขึ้น ซึ่งวิตามินที่คลินิกเลือกใช้ฉีดผิวให้จะเป็นกรด Ascorbic Acid ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และฟื้นฟูเซลล์ผิวได้ดี ทำการฉีดทุก 1 – 2 สัปดาห์ ต่อเนื่องประมาณ 5 – 10 ครั้ง ก็จะช่วยให้ผิวมีความเปล่งประกายมากขึ้น
เหมาะกับใคร : คนที่อยากมีผิวใส ดูแลผิวด้วยวิธีทั่วไปแล้วแต่ไม่เห็นผล
4. ฉีดเมโสหน้าใส
เมโสหน้าใส เป็นตัวยาที่ได้มาจากสารสกัดวิตามินเข้มข้น ซึ่งมีหลายยี่ห้อที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาผิวที่ต่างกัน ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ คือ มาเด้คอลลาเจน ที่ฉีดร่วมกับเทคนิคฝังเข็ม 16 จุด ช่วยขับสารพิษออกจากผิว ทำให้ผิวค่อยๆ แข็งแรง ป้องกันการเป็นสิว แพ้ง่าย ผิวจึงดูมีสุขภาพดีขึ้น ทนต่อมลภาวะได้ดี
เหมาะกับใคร : คนที่มีผิวแพ้ง่าย ใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ แล้วเกิดสิว มีปัญหาผิวแห้ง แต่งหน้ายาก อยากได้วิธีที่ทำแล้วเห็นผลดี สามารถโชว์หน้าสดได้อย่างมั่นใจ
อยากทำหน้าใสที่คลินิก ทำที่ไหนดี?
สำหรับคนที่ยังไม่เคยเข้าคลินิกความงาม เป็นมือใหม่อยากเริ่มทำหน้าใส แนะนำให้ลองศึกษารีวิวการทำ และข้อมูลจากกังนัมคลินิก เพราะเป็นคลินิกความงามที่น่าเชื่อถือ ได้ผลตอบรับที่ดีทั้งจากบุคคลทั่วไปและดารา โดยกังนัมคลินิกมีข้อดีดังนี้
1.คลินิกได้รับการตรวจสอบมาตรฐาน อนุญาตให้ดำเนินการจากกระทรวงสาธารณสุข
2. มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะแต่ละด้านที่มีประสบการณ์สูงทำให้ทุกขั้นตอน
3. สามารถของคำปรึกษาได้ตลอด ไม่ว่าทั้งก่อนทำและหลังทำ
4. ราคาดี ได้บริการที่คุ้มค่า มีโปรโมชั่นบ่อยๆ
5. ทำนัดผ่านทางออนไลน์ได้ง่าย มี Line ของคลินิกที่พร้อมให้ข้อมูลต่างๆ
6. มีสาขาให้บริการที่คลอบคลุม เลือกทำใกล้บ้านได้
สรุป
ผลลัพธ์ของการรักษาผิวหน้าให้กลับมามีความกระจ่างใส เรียบเนียน สุขภาพดี ได้เร็วหรือช้าจะต่างกันไปตามสภาพผิวและวิธีที่เลือกใช้ หากเลือกทำแบบที่เหมาะสมกับตัวเอง มีวินัย ทำร่วมกับการดูแลผิว ปรับพฤติกรรมการกิน และพักผ่อนให้เพียงพอก็จะช่วยให้เห็นผลเร็วขึ้น