นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีความพร้อมจะเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติเข้ามา โดยเฉพาะในส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ที่รัฐบาลให้คำยืนยันว่า จะยังสนับสนุนการผลิตรถยนต์สันดาปในช่วง 10 -15 ปีข้างหน้าต่อไป เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่าง ราบรื่น และพร้อมให้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์สันดาปที่จะย้ายฐานเข้ามาตั้งในประเทศไทยสำหรับส่งออกด้วย เพื่อให้ไทยรักษาการเป็นศูนย์กลางภูมิภาคในการผลิตรถยนต์สันดาป
“ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ลงทุนสูงที่สุดในไทย เราเป็นคนไทยเราไม่ลืมต้นน้ำ สิ่งดีๆที่ญี่ปุ่นทำให้กับเรา แต่ที่ผ่านมาญี่ปุ่นมีความกังวลเรื่องตลาดรถอีวีว่าจะเข้ามาแล้วทำให้เขาเสียเปรียบในแง่ของเชิงธุรกิจ เพราะญี่ปุ่นอาจช้าไปนิดนึงสำหรับเรื่องอีวี”
นายเศรษฐา กล่าวว่า ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ของภูมิภาคนี้ ถึงแม้ปัจจุบันเราจะสนับสนุนการผลิตรถ อีวี แต่การมาดูแล ธุรกิจเดิมๆ คือ อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์สันดาปที่ยังต้องดำเนินต่อไป เพราะอย่างไรก็ตามรถยนต์สันดาปก็ยังต้องมีอยู่ต่อไปใน 10-15 ปีข้างหน้า จะทำอย่างไรให้ภาคอุตสาหกรรมนี้อยู่ต่อไปได้ เพราะอุตสาหกรรมนี้มี ภาคการผลิตที่เกี่ยวข้องเยอะมาก ถ้าอยู่ดีๆหายไปหรือไม่ได้รับการสนับสนุน แรงงานที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมนี้ก็จะเดือดร้อน
“รัฐบาลคำนึงถึงเรื่องนี้ ซึ่งก็ได้มีการคุยเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง จากนี้ไปจนถึงก่อนไปเยือนญี่ปุ่น ก็จะมีการคุยกับสมาคมยานยนต์ ว่าจะทำอย่างไรให้ไทยเป็นศูนย์กลางของช่วงสุดท้ายของการผลิตรถยนต์สันดาป ซึ่งอาจจะมีการให้สิทธิประโยชน์ บางประการสำหรับอุตสาหกรรมที่จะย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย เพื่อส่งออกไป ซึ่งจะทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องรถยนต์ไฟฟ้าของไทยอยู่ได้ ขณะเดียวกันยังช่วยให้ผู้ผลิตรถค่ายญี่ปุ่นจะปรับตัวได้ด้วย”
นายเศรษฐา กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันว่า ทำให้ประชาชนเดือดร้อน จำเป็นต้องมีมาตรการเยียวยาและ รัฐบาลชุดนี้ยืนยันไม่มีความประสงค์ ที่จะทำโครงการรับจำนำ หรือรับประกันรายได้ผลผลิตการเกษตร เหมือนในอดีตที่ผ่านมายกเว้นว่าเกิดภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วมหรือฝนแล้ง ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือส่วนปัญหาภัยแล้งในปีนี้ว่า ได้สั่งการให้กรมชลประทานดูแลปัญหา ความเพียงพอของปริมาณน้ำในช่วงฤดูแล้ง โดยเฉพาะน้ำในภาคอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศ
ส่วนการเดินทางไปประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า ไทยเปิดประเทศแล้ว สำหรับการลงทุน โดยไทยจะให้ความสำคัญกับการทำเอฟทีเอ กับประเทศต่างๆมากขึ้น รวมถึงลงทุนต่อเนื่อง เช่น การพัฒนาสนามบิน เพื่อรองรับเที่ยวบินที่มีมากขึ้น