แจ้งข้อหาเสี่ยบิ๊ก เจ้าของรถดิน ปัดสติกเกอร์จ่ายส่วย ผบ.ตร.จี้สอบใน 3 วัน


.css-nh9sg4 #forum2022-logoSponsor{text-align:center;}.css-nh9sg4 .forum2022-logoSponsor-text{font-family:”KaLaTeXa Display”;font-size:10px;position:relative;z-index:3;}.css-nh9sg4 .forum2022-logoSponsor-text span{background-color:#ffffff;padding:0 10px;position:relative;z-index:3;}.css-nh9sg4 .forum2022-logoSponsor-text::after{content:””;height:1px;width:100%;background-color:rgb(216,216,216);position:absolute;top:50%;left:0;-webkit-transform:translateY(-50%);-ms-transform:translateY(-50%);transform:translateY(-50%);z-index:2;}.css-nh9sg4 ul.forum2022-logoSponsor{padding:0;margin:0;list-style:none;display:-webkit-box;display:-webkit-flex;display:-ms-flexbox;display:flex;-webkit-flex-wrap:wrap;-ms-flex-wrap:wrap;flex-wrap:wrap;gap:15px;-webkit-box-pack:center;-webkit-justify-content:center;-ms-flex-pack:center;justify-content:center;}.css-nh9sg4 ul.forum2022-logoSponsor li.forum2022-item-sponsor{height:80px;}.css-nh9sg4 ul.forum2022-logoSponsor li.forum2022-item-sponsor img{height:80px;}

“บิ๊กต่อ” สั่งด่วน “จเรตำรวจแห่งชาติ” ส่งทีมตรวจสอบสติกเกอร์ติดรถบรรทุกคันที่ทำฝาท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินพังเป็นส่วยรถบรรทุกหรือไม่ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายใดเข้าไปเกี่ยวข้องให้รายงานผลภายใน 3 วัน ส่วนคดีเน้นให้ น.1 ทำแบบตรงไปตรงมา ขยายผลเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง คาดโทษตำรวจทั่วประเทศห้ามยุ่งเกี่ยวส่วยสติกเกอร์ ตรวจสอบพบฟันเด็ดขาดทั้งวินัยและอาญา ผู้บังคับบัญชาปล่อยปละละเลยโดนด้วย กทม.ตั้งด่านตรวจรถบรรทุกน้ำหนักเกินเองวันแรกเจอ 2 คัน บรรทุก 34 ตัน และ 28 ตันดำเนินคดีคนขับ 2 ข้อหา ส่วนรถบรรทุกตรวจยึดไว้ก่อน “ชัชชาติ” ประชุมร่วมกรมทางหลวงและตำรวจ ขอความร่วมมืออุปกรณ์ชั่งน้ำหนักเคลื่อนที่และวิธีการใช้งาน เตรียมประสานกรมการขนส่งทางบกติดจีพีเอสรถบรรทุกทั่วประเทศ ง่ายต่อการตรวจสอบเส้นทางวิ่ง เวลา และน้ำหนักรถ

กรณีรถบรรทุกสิบล้อทะเบียน 83-7281 นนทบุรี ขนดินโคลนมาเต็มคันน้ำหนักเกินกว่า 37 ตัน ทำคานเหล็กฝาปิดอุโมงค์ร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินช่วงปากซอยสุขุมวิท 64/1 ทรุดตัว จนช่วงท้ายรถตกติดคาอยู่บริเวณปากบ่อ ทำการจราจรติดขัดวินาศสันตะโรตั้งแต่ช่วงเที่ยงวันที่ 8 พ.ย. ถึงค่ำกว่า 7 ชั่วโมงถึงขนย้ายออกไปได้ เรื่องบานปลายไปถึงปัญหารถบรรทุกน้ำหนักเกิน เนื่องจากพบที่กระจกหน้ารถมีสติกเกอร์รูปดาวสีเขียวตัวอักษร B ติดอยู่ ทำเอา พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ถึงกับเต้น สั่งตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตำรวจ สน.พระโขนง ท้องที่เกิดเหตุ รวมถึงขยายผลตรวจสอบเรื่องส่วยรถบรรทุกเกินที่วิ่งสร้างความเดือดร้อนอย่างหนักให้คนกรุงในปัจจุบัน ส่งผลให้นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สั่งการให้เจ้าหน้าที่ กทม. ตั้งด่านตรวจสอบรถบรรทุกน้ำหนักเกินเอง

กทม.ลุยตรวจรถน้ำหนักเกิน

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 9 พ.ย. นายอุทัย ยอดสวัสดิ์ วิศวกรโยธาชำนาญการพิเศษ สำนักงานก่อสร้างและบูรณะ สำนักการโยธา กรุงเทพ มหานคร พร้อมเจ้าหน้าที่กรมทางหลวง สนธิกำลังตรวจสอบรถบรรทุกน้ำหนักเกินบริเวณถนนเทพรักษ์ แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม. พบรถบรรทุกสิบล้อ 2 คัน ต้องสงสัยบรรทุกน้ำหนักเกิน คันแรกเป็นรถบรรทุกสิบล้อ ฮีโน่ สีขาว ทะเบียน 84-2615 สมุทรปราการ มีนายประพันธ์ สุนันต๊ะ อายุ 56 ปี เป็นคนขับ และคันที่ 2 รถบรรทุกฮีโน่ สีขาว ทะเบียน 84-2613 สมุทรปราการ มีนายสังวาลย์ สระทองสงค์ อายุ 59 ปี เป็นคนขับ จากการชั่งน้ำหนักรถทั้ง 2 คัน พบว่าบรรทุกดินน้ำหนักเกินจริง คันแรกบรรทุกน้ำหนัก 34 ตัน และคันที่ 2 บรรทุกหนัก28ตัน

เจอ 2 คันบรรทุกน้ำหนักเกิน

สอบถามคนขับรถบรรทุกทั้ง 2 คนเบื้องต้นทราบว่า ขับรถบรรทุกดินมาจากไซต์งานก่อสร้างในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อนำดินไปถมในไซต์งานก่อสร้างย่านปริมณฑล ควบคุมตัวโชเฟอร์รถบรรทุกทั้ง 2 คนพร้อมรถบรรทุกทั้ง 2 คัน ส่ง พ.ต.ต.กันตพัฒน์ ประเศรษฐสุต สว.(สอบสวน) สน.บางเขน ดำเนินคดี พร้อมรายงานผลการตรวจสอบให้นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครทราบ

“ชัชชาติ” สั่งยึดรถบรรทุกไว้ก่อน

ต่อมาเวลา 00.05 น. วันที่ 10 พ.ย. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เดินทางมาตรวจสอบรถบรรทุกดินทั้ง 2 คัน ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า หลังเกิดเหตุรถบรรทุกดินน้ำหนักเกิน ทำให้พื้นถนนสุขุมวิททรุดตัว กรุงเทพ มหานคร ร่วมกับกรมทางหลวงสนธิกำลังตรวจสอบสกัดจับกุมรถที่บรรทุกน้ำหนักเกิน ขณะกำลังตรวจสอบบริเวณถนนเทพรักษ์ เจ้าหน้าที่พบรถต้องสงสัย 2 คัน เรียกตรวจและชั่งน้ำหนักพบว่า บรรทุกเกินที่กฎหมายกำหนด ควบคุมและยึดรถไว้ส่งพนักงานสอบสวน สน.บางเขน สอบสวน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ทางหลวงมาตรา 61 ข้อหาบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด มีโทษปรับ 1,000 บาท แต่ต้องยึดรถไว้ก่อน

เล็งเอาผิดเจ้าของรถบรรทุก

“การจับกุมครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพมหานคร จับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกิน เป็นการทำงานแบบไร้รอยต่อ ร่วมกับกรมทางหลวง และตำรวจพร้อมรับดำเนินคดี จากนี้ต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยจากการบรรทุกน้ำหนักเกิน รวมถึงฝุ่นพีเอ็ม 2.5 (PM 2.5) ผมสงสารคนขับที่หาเช้ากินค่ำ เขามีเพียง หน้าที่ขับรถเท่านั้น ต้องฝากถึงเจ้าของรถด้วยว่า มันเป็นบาปกรรมที่ความผิดมาลงอยู่ที่คนขับ ทั้งที่เป็นเพียงคนรับจ้าง ต่อไปจะต้องเพิ่มโทษเพื่อดำเนินคดีกับเจ้าของรถด้วย” นายชัชชาติกล่าว

“บิ๊กต่อ”สั่ง จตช.สอบสติกเกอร์

มีรายงานด้วยว่า พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. สั่งการด่วนให้ พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรง รรท.จตช. ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีรถบรรทุกประสบเหตุตกบ่อก่อสร้างโครงการนำสายไฟฟ้าลงดินทรุดตัว บนถนนสุขุมวิทหน้าซอยสุขุมวิท 64/1 เมื่อวันที่ 8 พ.ย. เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง มีผู้บาดเจ็บ ทำให้การจราจรไม่สามารถใช้การได้หลายชั่วโมง ขณะที่บริเวณกระจกด้านหน้ารถบรรทุกคันดังกล่าวมีรูปดาวและตัวอักษรภาษาอังกฤษ B สีเขียว ประธานสหพันธ์ขนส่งแห่งประเทศไทย ยืนยันว่าเป็นสัญลักษณ์ของส่วยสติกเกอร์ตามที่ปรากฏภาพข่าว จึงให้จเรตำรวจดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า มีข้าราชการตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง รับผลประโยชน์ทั้งทางตรงทางอ้อมหรือไม่ หากพบให้ดำเนินการเด็ดขาดทั้งอาญา วินัย และปกครอง ให้รายงานผลภายใน 3 วัน

กำชับ ผบช.น.ทำคดีตรงไปตรงมา

“ผบ.ตร.ยังสั่งกำชับให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ลงไปควบคุมการทำคดีอย่างตรงไปตรงมา ทำความจริงให้ปรากฏ รวบรวมหลักฐานเอาผิดผู้เกี่ยวข้องทุกฐานความผิด รวมทั้งประเด็นข้อสงสัยของสังคม เช่น การเคลื่อนย้ายดินออกจากรถหรือประเด็นอื่นๆ และให้สืบสวนขยายผลดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย หากพบเป็นความผิด ผบ.ตร.สั่งการย้ำให้เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและทำคดีอย่างตรงไปตรงมา เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้สังคมรับทราบ เอาผิดผู้เกี่ยวข้องทุกรายที่ฝ่าฝืนทำผิดกฎหมาย พร้อมกำชับตำรวจทั่วประเทศไม่ให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเรียกรับผลประโยชน์จากส่วยสติกเกอร์หรือสิ่งผิดกฎหมาย หากตรวจพบจะดำเนินการเด็ดขาดทั้งอาญา ปกครอง วินัย รวมทั้งเอาผิดผู้บังคับบัญชาที่ปล่อยปละละเลยด้วย” โฆษก ตร.กล่าว

“ชัชชาติ” ประชุมตำรวจ–ทางหลวง

ที่กรมทางหลวง เวลา 12.00 น. วันที่ 10 พ.ย. นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ร่วมประชุมแก้ไขปัญหารถบรรทุกวิ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. นายชัชชาติเผยว่า การหารือวันนี้เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหารถบรรทุกที่วิ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ ปัญหาหลักๆจะมี 2 เรื่องคือ วิ่งนอกเวลาและน้ำหนักของรถบรรทุกที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด

เสนอติดจีพีเอสรถบรรทุกทุกคัน

“ที่ผ่านมา กทม.ไม่เคยจับรถบรรทุกผิดกฎระเบียบมาก่อน แต่เมื่อคืนไปตรวจพบรถบรรทุกน้ำหนักเกิน สั่งการให้ตั้งศูนย์ตรวจน้ำหนักรถบรรทุกในพื้นที่ กทม. ขอความร่วมมือกรมทางหลวงและตำรวจดำเนินการ กรมทางหลวงจะสนับสนุนเรื่องการให้ความรู้เจ้าหน้าที่ กทม. และอุปกรณ์ชั่งน้ำหนักแบบเคลื่อนที่ ส่วนตำรวจจะดูเรื่องข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการดำเนินคดี พร้อมเห็นตรงกันที่จะดำเนินคดีกับเจ้าของรถบรรทุกโดยยึดรถทันทีหากพบกระทำความผิด ส่วนคนขับเป็นเพียงคนรับจ้างขับรถเท่านั้น พร้อมขอให้ตั้งด่านชั่งก่อนเข้าพื้นที่ กทม.ด้วย ขณะนี้กำลังประสานกับกรมการขนส่งทางบกให้ติดจีพีเอส (GPS) รถบรรทุกทั่วประเทศ เพื่อตรวจสอบว่ารถบรรทุกขับเกินเวลาหรือไม่ และสามารถตรวจได้ว่าน้ำหนักเกินหรือไม่ แต่ยังเป็นเพียงข้อเสนอต้องหารือร่วมกันอีกหลายหน่วยงาน” ผู้ว่าฯ กทม.กล่าว

“รองโจ๊ก” ลั่นเอาผิดเจ้าของรถ

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล กล่าวว่า ตำรวจรับข้อมูลจากทาง กทม. พบว่ามีไซต์งานก่อสร้างทั่วกรุงเทพฯ กว่า 300 แห่ง และจะสุ่มออกตรวจร่วม หารถบรรทุกที่น้ำหนักเกินและปฏิบัติผิดระเบียบต้องถูกยึดรถดำเนินคดีทันที ส่วนความคืบหน้าคดีรถบรรทุกที่ตกบ่อการไฟฟ้านครหลวงในพื้นที่ สน.พระโขนง ขณะนี้เรียกเจ้าของรถมาสอบปากคำ และยึดรถของกลางไว้แล้วเช่นกัน จะทำคดีนี้เป็นคดีตัวอย่างที่จะเห็นว่า เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนเอาจริงกับการกวดขันเรื่องน้ำหนักรถบรรทุก ส่วนกรณีเรื่องส่วยสติกเกอร์ ตนไม่ได้รับผิดชอบในส่วนนี้ ต้องไปถามทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่ามอบหมายใครให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว

ทางหลวงเร่งเพิ่มด่านชั่งน้ำหนัก

ด้านนายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เผยว่า กรมทางหลวงมีหน้าที่ดูแลถนนทั่วประเทศประมาณ 52,000 กม. จากทั้งหมดกว่า 7 แสนกิโลเมตรปัจจุบันมีด่านชั่งน้ำหนักถาวรอยู่ประมาณ 101 ด่านบนถนนสายหลัก แต่ยังไม่ครอบคลุมทั้งประเทศ และอยู่ระหว่างศึกษาทำด่านชั่งน้ำหนักถาวรเพิ่มอีก 85 ด่านในอนาคต แต่ละปีอาจมีเพิ่ม 2-3 ด่าน ในเส้นทางคมนาคมหรือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ ที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนในเส้นทางอื่นๆ เช่น เส้นทางรองได้ส่งรถชั่งน้ำหนักเคลื่อนที่ไปตรวจจับได้ถึงปีละ 3-4 พันคัน และยังพบการฝ่าฝืนกฎหมายอยู่ อยากขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยดูแลในเส้นทางรองด้วย

ขอความร่วมมือผู้ประกอบการ

“ครั้งนี้รอง ผบ.ตร.และ ผู้ว่าฯ กทม.ขอความร่วมมือกรมทางหลวงซึ่งมีหน้าที่ตรวจชั่งน้ำหนักรถอยู่แล้ว จะใช้เทคโนโลยีเอไอ (AI) มีอยู่แล้ว 42 แห่งทั่ว กทม.เข้ามาช่วยตรวจจับ หากพบว่ามีแนวโน้มบรรทุกน้ำหนักเกินจะดำเนินการจับกุมทันที หรือข้อเสนอจากผู้ว่าฯ กทม.ติดตั้งจีพีเอสที่รถบรรทุกทุกคัน จะทำให้สามารถทราบเส้นทางได้ว่ารถวิ่งไปที่ไหนบ้าง เบื้องต้นหารือกับสมาคมรถบรรทุกแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์อื่นๆให้ช่วยดูแลควบคุมสมาชิกให้ปฏิบัติตามกฎหมาย นอกจากนี้ยังจะเพิ่มมาตรการความเข้มข้นการตรวจจับรถบรรทุกให้ครอบคลุม รวมถึงหารือจัดตั้งงบประมาณเพิ่มด่านชั่งน้ำหนักถาวรเส้นทางอื่นๆ และบริเวณหน้านิคมอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อประหยัดเวลาการตรวจจับบนท้องถนนได้ด้วย” นายสราวุธกล่าว

เจ้าของรถเพิ่งมาพบอ้างตกใจ

ที่ สน.พระโขนง พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รรท.รอง ผบช.น. พ.ต.อ.วิทวัฒน์ ชินคำ รรท.รอง ผบก.น.5 พ.ต.อ.โอภาส หาญณรงค์ ผกก.สน.พระโขนง และคณะทำงาน ประชุมติดตามความคืบหน้าคดี พล.ต.ต.พัลลภกล่าวว่า หลังชั่งน้ำหนักรถพบว่าบรรทุกน้ำหนักเกินกว่ากฎหมายกำหนด แจ้งข้อหากับคนขับรถ 2 ข้อหาคือ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินเสียหาย และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ สำหรับเจ้าของรถตำรวจติดต่อมาสอบปากคำวันนี้ ส่วนสาเหตุที่เชิญมาล่าช้าเนื่องจากเจ้าของรถอ้างว่าตกใจ และยังไม่พร้อมให้ข้อมูล

ล็อกคนแอบถ่ายน้ำมันออกจากรถ

“ส่วนกรณีเผยภาพคลิปวิดีโอช่วงกลางดึกของคืนวันเกิดเหตุ มีคนงานนำแกลลอนมาถ่ายน้ำมันออกจากถังน้ำมันใต้รถบรรทุกคันเกิดเหตุที่จอด
ตรงข้าม สน.พระโขนง ฝ่ายสืบสวนตามบุคคลในคลิปมาสอบปากคำแล้วได้ความว่า รับคำสั่งให้ถ่ายน้ำมันออกจากถัง เนื่องจากตัวถังรถเสียหายจากอุบัติเหตุ เกรงว่าน้ำมันอาจรั่วจนเกิดอันตราย แต่นำน้ำมันของกลางมาส่งคืนให้พนักงานสอบสวนแล้ว ยืนยันว่าไม่มีเจตนาอำพรางทำให้น้ำหนักรถลดลง แต่ยังต้องสอบหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หากพบว่าพยายามถ่ายน้ำหนักรถเพื่อเลี่ยงถูกตรวจสอบจะดำเนินคดี หลังจากนี้จะตรวจสอบประเด็นความผิดอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อแจ้งข้อหาเพิ่ม แบ่งเป็น 2 ส่วน ทั้งเรื่องการดัดแปลงต่อเติมอุปกรณ์เสริมพ่วงส่วนอื่นๆฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ และในส่วนบ่อพักที่อยู่ในความรับผิดชอบของการไฟฟ้านครหลวง การก่อสร้างมีความถูกต้องตามหลักวิศวกรรมหรือไม่ หลังจากนี้ต้องให้สภาวิศวกรรมเข้ามาตรวจสอบ” พล.ต.ต.พัลลภกล่าว

เจ้าของรถยันติดสติกเกอร์เอง

รรท.รอง ผบช.น.กล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องส่วยสติกเกอร์ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. กำชับและตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว รวมถึง ผบ.ตร.มีคำสั่งมอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติตรวจสอบเรื่องนี้ควบคู่ไปด้วย แต่การสอบสวนเบื้องต้นคนขับรถให้การว่า ผู้ประกอบการเจ้าของรถบรรทุกติดสติกเกอร์ทำสัญลักษณ์ให้รู้ว่าเป็นรถของตัวเองที่จะเข้ามาตักดินภายในไซต์งานเนื่องจากมีรถหลายคัน หากพบหลักฐานเกี่ยวข้องการทุจริตรับผลประโยชน์ จะดำเนินคดีไม่ละเว้น แต่ต้องใช้เวลา ส่วนรถคันอื่นของผู้ประกอบการเจ้าของรถบรรทุกมีประมาณ 6-7 คัน หากไม่ได้บรรทุกเกินหรือไม่มีสิ่งใดผิดกฎหมายสามารถประกอบการได้ตามปกติ แต่เจ้าหน้าที่อาจต้องเข้มงวดตรวจตราตามเส้นทางเพิ่มมากขึ้น ส่วนรถบรรทุกคันดังกล่าวจะนำดินไปไว้พื้นที่ไหน อยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน

สอบปาก “เสี่ยบิ๊ก” เจ้าของรถบรรทุก

ต่อมาเวลา 12.30 น. นายวุฒิภัทร จันทรินทรากร หรือ “เสี่ยบิ๊ก” อายุ 32 ปี ผู้ครอบครองรถบรรทุก และนายศักดิ์ หรือบอย มงคล อายุ 29 ปี คนขับรถ เข้าให้ปากคำกับ พล.ต.ต.สุวิชชา จินดาคำ ผบก.จร. รรท.ผบก.กต.10 ฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนจเรตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยไม่ตอบคำถามใดๆสื่อมวลชน เบื้องต้นคณะทำงานวางแนวทางสอบสวนกำหนดกรอบไว้ 3 ประเด็น คือ 1.ตรวจโครงสร้างคานเหล็กจุดเกิดเหตุเทียบเคียงกับจุดอื่น ต้องประสานข้อมูลร่วมกับวิศวกรรมสถาน 2.เรียกบุคคลที่ปรากฏในคลิปว่าเป็นผู้ขนถ่ายน้ำมันออกจากรถมาสอบปากคำ สว.จร. ที่ปรากฏภาพอยู่ในที่เกิดเหตุ และตรวจสอบถังน้ำมัน ให้ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบถังน้ำมัน
ใต้ท้องรถเทียบเคียงกับภาพที่ปรากฏ และ 3.สอบปากคำผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น ผู้ควบคุมงานโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียม นายหน้าผู้รับเหมา ผู้ควบคุมดูแลบ่อพักร้อยสายไฟใต้ดินจุดเกิดเหตุ ผู้ดูแลสถานที่จุดเทดินในซอยรามอินทรา 19 พนักงานขับรถตักดิน ของโครงการก่อสร้าง ผู้กองดินและนำดินออกจากจุดเกิดเหตุไปพักไว้ที่ไซต์งาน คนขับรถบรรทุกทั้ง 3 คัน รวมถึงคันเกิดเหตุ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเรื่องสติกเกอร์ดาวเขียว คนขับรถบรรทุกทุกคันที่ขับเข้าออกโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียม และการไฟฟ้านครหลวงที่ดำเนินการขุดบ่อพักสายไฟ

วสท.ตรวจคานเหล็กจุดเกิดเหตุ

ต่อมานายกัมเรศ ดวงธนู จนท.จากวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) พร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) เดินทางมาตรวจสอบคานเหล็กจุดที่หักบริเวณปากซอยสุขุมวิท 64/1 เพื่อหารอยเชื่อมต่อของเหล็ก นายกัมเรศเผยว่า วันนี้มาตรวจสอบเบื้องต้นคานเหล็กเอชบีม ขนาด 40×40 ซม. หนา 2 ซม.โดยมาหาจุดเชื่อมต่อของเหล็กเพื่อนำไปสรุปว่าจุดที่หักใช่จุดที่เป็นรอยเชื่อมต่อของเหล็กหรือไม่ จะสรุปข้อมูลและสาเหตุ พร้อมที่จะแถลงต่อสื่อมวลชนอาทิตย์หน้า

เรียกประธาน ขสบท.ให้ข้อมูล

ที่ สน.พระโขนง เมื่อเวลา 16.30 น. พนักงานสอบสวนเชิญนายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย (ขสบท.) มาให้ข้อมูลประกอบการสอบสวน นายอภิชาติกล่าวว่า ถูกเชิญมาให้ปากคำฐานะเป็นประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย (ขสบท.) น่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับส่วยสติกเกอร์ แต่ตนยังไม่มีข้อมูล เพราะรถบรรทุกที่วิ่งเข้าออกกรุงเทพฯมีหลายคัน และรถของนายวุฒิภัทร จันทรินทรากร ไม่ได้อยู่ในสหพันธ์ฯ จึงไม่สามารถตัดสินได้ว่า สติกเกอร์รูปดาวสีเขียวเป็นสติกเกอร์ส่วยหรือไม่ เรื่องนี้ต้องให้ตำรวจสอบสวนต่อไป

คนขับอ้างไม่รู้รถน้ำหนักเกิน

ต่อมาเวลา 18.05 น. หลังการสอบปากคำนายวุฒิภัทร หรือเสี่ยบิ๊ก จันทรินทรากร อายุ 32 ปี นานกว่า 5 ชม. เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนายศักดิ์มงคล หรือบอย ทาสะโก อายุ 29 ปี คนขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุออกจากห้องประชุมชั้น 4 ของโรงพัก ลงไปพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อตรวจสอบประวัติอาชญากรความผิด 2 ข้อหาคือ ขับรถบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ขณะควบคุมตัวผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามนายศักดิ์มงคลว่า เครียดหรือไม่ และทราบหรือไม่ว่าขับรถบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และก่อนขับออกมาจากไซต์ก่อสร้างมีคนชั่งน้ำหนักหรือควบคุมดูแลอยู่หรือไม่ นายศักดิ์มงคลตอบเพียงสั้นๆว่า ไม่เครียด และไม่ทราบว่าขับรถบรรทุกน้ำหนักเกินกฎหมายกำหนด ระหว่างนั้นไม่มีใครควบคุมดูแล

แจ้งข้อหา “เสี่ยบิ๊ก” ใช้ให้ทำผิด

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่นำตัวนายวุฒิภัทร หรือเสี่ยบิ๊ก ลงไปพิมพ์ลายนิ้วมือตรวจสอบประวัติ พร้อมแจ้งข้อหาเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฯ เสี่ยบิ๊ก กล่าวว่า กรณีที่พาดพิงถึงเสี่ยอั่งเปาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เป็นเพียงชื่อลูกของตน และที่มาของชื่อเสี่ยบิ๊ก ตนทำธุรกิจไม่ขึ้นจึงไปดูดวง หมอดูบอกว่า ให้เปลี่ยนชื่อเป็นเสี่ยบิ๊ก สุดท้ายกลายเป็นข่าวโด่งดัง ส่วนเรื่องสติกเกอร์ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับส่วย เนื่องจากตนมีชื่อเป็นอักษรตัวบีอยู่แล้ว ประกอบกับตอนนั้นเกิดวันพุธซึ่งเป็นสีเขียว เราอยากเป็นดาวรุ่งจึงใช้สัญลักษณ์ดาวสีเขียวดังกล่าว

ดาวเขียวไม่เกี่ยวสติกเกอร์ส่วย

เสี่ยบิ๊กกล่าวต่อว่า ตนมีหลักฐานทุกอย่างเนื่องจากทำธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2561 ติดสัญลักษณ์ดังกล่าวมานานแล้ว ยืนยันว่าไม่ใช่ป้ายเคลียร์หรือป้ายส่วยใดๆทั้งสิ้น ติดไว้เพื่อเวลาไปเอาดินในสถานที่ต่างๆจะได้รู้ว่าเป็นรถของใคร ตนมีรถบรรทุกทั้งหมด 3 คันมีสัญลักษณ์ดาวเขียวติดอยู่ทั้งหมด ทั้งนี้ สิ่งที่ตนพูดมีหลักฐานทั้งหมด ส่งมอบให้ตำรวจแล้ว

ส่งหลักฐานให้ตำรวจหมดแล้ว

“ส่วนกรณีถ่ายน้ำมันออกจากรถคันที่เกิดเหตุ เนื่องจากขณะเกิดเหตุถังน้ำมันแตกเกิดการรั่ว กลัวว่าจะเกิดเหตุซ้ำซ้อนขึ้น หากน้ำมันไหลลงถนนแล้วจะลื่นหากมีรถจักรยานยนต์ขี่ผ่านมา ผมไม่ทราบว่า รถที่บรรทุกมาน้ำหนักเกิน เพราะเวลาตักดิน ใช้วิธีกะเอา ไม่มีตาชั่ง ที่ผ่านมาวิ่งรถเส้นนี้มานาน ตั้งแต่ก่อนมีการเปิดฝาท่อเพื่อนำสายไฟลงดิน ยืนยันว่าทุกอย่างที่พูดมามีหลักฐานทั้งหมด ไม่ใช่พูดลอยๆ ส่งหลักฐานให้ตำรวจทั้งหมดแล้ว” เสี่ยบิ๊กกล่าว

โยนคานเหล็กไม่ได้มาตรฐาน

ด้านนายเสกสรรค์ ศรีหิรัญยางกูร อายุ 42 ปี ทนายความเสี่ยบิ๊ก กล่าวว่า คดีนี้เป็นข่าวขึ้นเพราะมีการเปิดปิดนำสายไฟลงไปทุกวัน ให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบคานเหล็กที่ปิดฝาท่อรับน้ำหนักได้หรือไม่ ในส่วนของน้ำหนักเกินก็ว่าไปตามกฎหมาย ส่วนฝาท่อปิดไม่สนิทและเรื่องคานเหล็กไม่ได้มาตรฐานนั้น เรื่องนี้มีการตรวจสอบด้วยเช่นกัน เบื้องต้นพนักงานสอบสวนปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คนกลับไปโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ เนื่องจากทั้ง 2 มารายงานตัวตามหมายเรียก วันพรุ่งนี้พนักงานสอบสวนจะไปยื่นผัดฟ้องฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ต่อศาลแขวงพระโขนงต่อไป


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *