โควิด-19 รอบสัปดาห์ป่วยหนักเพิ่ม-ศูนย์จีโนมเผยวิจัยใช้ยารักษากลุ่มเปราะบาง


ข่าว

สถานการณ์โควิด-19 รอบสัปดาห์ที่ 45 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย พบยอดผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่ม 390 คน เสียชีวิต 1 คน ขณะที่ผู้ป่วยหนักเพิ่มทั้งปอดอักเสบและใส่เครื่องช่วยหายใจ ด้านศูนย์จีโนม เผยวิจัยการรักษาผู้ป่วยโควิดกลุ่มเปราะบาง พบว่า “CCP+ยาฟาวิพิราเวียร์” ไม่แตกต่างจากการรักษาด้วยแอนติบอดีสำเร็จรูป“โซโทรวิแมบ” อีกทั้งค่าใช้จ่ายถูกกว่าและไทยสามารถผลิตได้เอง

.ads-billboard-wrapper{display:flex;min-height:250px;align-items:center;justify-content:center}

กรมควบคุมโรค รายงานสถานการณ์โควิด-19 รายสัปดาห์ ระบุว่า ข้อมูลของสัปดาห์ที่ 46 ระหว่าง 12-18 ตุลาคม 2566 มีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่รักษาในโรงพยาบาล 390 ราย เฉลี่ยรายวัน 56 รายต่อวัน ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปี 2566 อยู่ที่ 35,188 ราย ขณะที่ผู้ป่วยหนักสูงขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว โดยมีรายงานว่าผู้ป่วยปอดอักเสบพบรายงาน 83 รายและผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 40 รายด้านผู้เสียชีวิตยังเท่าเดิม คือ 1 คนต่อสัปดาห์ เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ต้นปี 2566 อยู่ที่ 821 ราย

โควิด-19 รอบสัปดาห์ไทยทรงตัว-ศูนย์จีโนมเผยพบโควิดกลายพันธุ์คู่-พลิกขั้วแล้วทั่วโลก

อัปเดตโควิดเดลตาครอน XBC – คาด 2567 ทั่วโลกได้เห็น“JN.1”เป็นสายพันธุ์หลัก

สำหรับจำนวนผู้ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยังไม่พบการรายงานว่ามีผู้เข้ารับวัคซีนเพิ่มเติม โดยในปัจจุบันฉีดวัคซีนสะสม 144,951,341 โดส แบ่งเป็น วัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 57,233,919 โดส คิดเป็น 82.28% เข็มที่ 2 จำนวน 53,730,348 โดส คิดเป็น 77.25% และตั้งแต่เข็มที่ 3 ขึ้นไป จำนวน 33,987,074 โดส (อัปเดตวันที่ 26 พ.ค. 2566)

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีโพสต์เฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics  ถึงความก้าวหน้าด้านประสิทธิภาพการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่อยู่ในกลุ่มเปราะบาง

โดยระบุว่า ทีมแพทย์ไทยตีพิมพ์ผลงานวิจัยประสิทธิภาพการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่อยู่ใน“กลุ่มเปราะบาง”ด้วยพลาสมาจากเลือดของผู้ที่หายจาก COVID-19 สายพันธุ์เดลตา (Covid-19 Convalescent Plasma: CCP)  ร่วมกับ “ยาฟาวิพิราเวียร์” เทียบกับการรักษาด้วยแอนติบอดีสำเร็จรูป “โซโทรวิแมบ”  พบว่าประสิทธิภาพในการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน BA.1/BA.2 ด้วย  CCP+ยาฟาวิพิราเวียร์” ไม่แตกต่างจากการรักษาด้วยแอนติบอดีสำเร็จรูป “โซโทรวิแมบ”  แต่ CCP และ ยาฟาวิพิราเวียร์มีค่าใช้จ่ายในการผลิตที่ถูกกว่าแอนติบอดีสำเร็จรูปมากและประเทศไทยสามารถผลิตได้เอง

ซึ่งอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ SARS-CoV-2 ในประเทศไทยและทั่วโลกโดยเฉพาะในช่วงแรกของการระบาดที่การผลิตทั้งวัคซีน ยา และแอนติบอดีสำเร็จรูปยังไม่พร้อม  หรือคนไข้โควิด-19 รายนั้นไม่ตอบสนองต่อการรักษาใดๆ

จากการถอดบทเรียนการรักษาโควิด-19 ในประเทศไทยพบว่าในช่วงที่โควิดสายพันธุ์เดลต้าระบาดมีความรุนแรงมาก ผู้ป่วยส่วนมากในช่วงเวลานั้นเมื่อติดเชื้อแล้วมีอาการรุนแรง ส่วนใหญ่มักจะไม่เคยได้รับวัคซีนหรือได้ไม่ครบ 2 เข็มหรือ 2 เข็มไม่ถึง 14 วันก็ติดเชื้อเสียก่อนและเป็นผู้ที่เข้าถึงยายาก ไม่ได้รับยาฟาร์วิพิราเวียภายใน 48 ชม. ผู้ป่วยหลายรายที่อาการหนักมารพ.อยู่ได้ไม่ถึง 7 วันก็เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

เพื่อลดการเสียชีวิตของประชาชนจากโควิด-19 ในช่วงนั้นคณะแพทย์จากหลายสถาบัน กล่าวคือ รพ. (ชุมชน) ประชาธิปัตย์ จังหวัดปทุมธานี, รพ.จุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์, และศูนย์ความเป็นเลิศด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานครฯ ได้นำ Covid-19 Convalescent Plasma (CCP) หรือ พลาสมาจากเลือดของผู้ที่หายจากโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่มีความเข้มข้นของแอนติบอดีต่อ SARS-CoV-2 สูง (มากกว่า 1:320) ผลิตโดยสภากาชาดไทย มาใช้เป็นครั้งแรกกับ “คนไข้ในกลุ่มเปราะบาง” ซึ่งปรากฏว่าได้ผลดี ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งจากแต่เดิมที่องค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อนุมัติให้ใช้ CCP ที่มีความเข้มข้นของแอนติบอดีต่อ SARS-CoV-2 สูง เฉพาะในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือได้รับการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน ทั้งกับผู้ป่วยที่รักษาตัวในรพ.และผู้ป่วยนอกรพ. เท่านั้น

ข่าวปลอม! ยันรัฐยังไม่สั่งงดปีใหม่หลังข่าวลือโควิดเดลตาครอน XBC ระบาด

ในปี 2565 ผลงานดังกล่าวได้รับการลงตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ “Annals of Clinical Microbiology and Antimicrobials”   ที่มี  Peer review (มีการตรวจทานผลงานที่ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญอีกคนหนึ่ง หรือกลุ่มหนึ่งที่ไม่ใช่ผู้ผลิตงานชิ้นนั้น เทียบกับเกณฑ์หรือมาตรฐานที่กำหนดไว้ และผู้ที่จะทำหน้าที่ตรวจผลงานของผู้อื่นได้ จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญเหมือนกับผู้ผลิตผลงานชิ้นนั้น หรือเชี่ยวชาญกว่า) https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/36403020/

ต่อมา 17 พฤศจิกายน 2566 ทีมวิจัยกลุ่มเดิมได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารการแพทย์ Microbiology Spectrum  https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/37975699/ โดยทำการศึกษาที่เป็นการทดลองแบบสุ่มแบบควบคุม (randomized controlled trial) ตรวจสอบประสิทธิภาพของการรักษาด้วยพลาสมาจากผู้ที่รักษาหายจาก COVID-19 สายพันธุ์เดลตาที่มีค่าไทเตอร์ของภูมิคุ้มกันที่สูง (high neutralizing titer) ร่วมกับยาฟาวิพิราเวียร์ เปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาแอนติบอดีสำเร็จรูป “โซโทรวิแมบ” พบว่าประสิทธิภาพการรักษาด้วย CCP (ผลิตจากผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา) ร่วมกับยาฟาวิพิราเวียร์ มิได้ด้อยไปกว่า“โซโทรวิแมบ (Sotrovimab)” ซึ่งเป็นแอนติบอดีสำเร็จรูป ในการรักษาการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ BA.1 และ BA.2 ในระยะ 14 และ 28 วัน โดยมีอาสาสมัครเข้าร่วมการทดลองทั้งหมด 136 คน มี 68 คนได้รับ CCP+ยาฟาวิพิราเวียร์ และ 68 คนได้รับโซโทรวิแมบ  พบไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างสองกลุ่มการรักษาในการเข้ารับการรักษาฉุกเฉิน การให้ออกซิเจน และการเสียชีวิต

หมายเหตุ การใช้ยาแอนติบอดีสำเร็จรูป (Monoclonal Antibody) ในการรักษาโรค COVID-19 มีประสิทธิภาพในการลดปริมาณเชื้อไวรัสในกระแสเลือดและยับยั้งการติดเชื้อของร่างกาย รวมทั้งลดระยะเวลาการรักษาในโรงพยาบาล และลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิต  ยาแอนติบอดีสำเร็จรูปจะมีความจำเพาะเจาะจงต่อโควิดแต่ละสายพันธุ์ (narrow spectrum) เช่นยาแอนติบอดีสำเร็จรูปบางชนิดรักษาการติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ BA.1/BA.2 ได้ดี แต่ด้อยประสิทธิภาพอย่างมากในการรักษาผู้ติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ XBB.1.5 เป็นต้น

ล่าสุดอายุรแพทย์จาก รพ.  ประชาธิปัตย์มีความร่วมมือกับศูนย์จีโนมทางการแพทย์  รพ. รามาธิบดี (ในการตรวจสายพันธุ์ของโควิด) รักษาผู้ป่วยโควิดสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 ด้วย CCP จากผู้เคยติดเชื้อและหายป่วยจากสายพันธุ์เดลตาพบได้ผลดีเช่นกัน ผลงานวิจัยชิ้นนี้กำลังอยู่ในระหว่างเตรียมบทความลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ

การถอดบทเรียนจากการใช้ CCP ในประเทศไทยที่ผลิตจากผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิม (เดลตา) โดยสภากาชาดไทยอาจสามารถนำไปปรับใช้ได้กับการระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่ในขณะนั้นคือโอมิครอน BA.1/BA.2 ส่วน BA.4/BA.5 อยู่ในระหว่างการลงตีพิมพ์ แสดงให้เห็นว่า CCP มีฤทธิ์เข้าจับและทำลายไวรัสโควิด-19 ได้กว้างหลากหลายสายพันธุ์ (broad spectrum) มากกว่าแอนติบอดีสำเร็จรูป น่าจะสามารถนำไปใช้กับโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่อาจเกิดระบาดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในช่วงแรกของการระบาดที่การผลิตทั้งวัคซีน ยา และแอนติบอดีสำเร็จรูปยังไม่พร้อม  หรือคนไข้โควิด-19 ผู้นั้นไม่ตอบสนองต่อการรักษาใดๆ ซึ่งจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ SARS-CoV-2 ในประเทศไทยและทั่วโลก และโดยทั่วไปการรักษาด้วย CCP จะปลอดภัยและมีผลข้างเคียงน้อย

แพทย์เผย ติดเชื้อโควิด19 พร้อมกับไข้หวัดใหญ่มีความเป็นไปได้

“ภูมิแพ้” ทำไมรุนแรงมากขึ้นช่วงหน้าหนาว? เสี่ยงโรคหอบหืด-ไซนัสอักเสบ

วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ

PPSHOP

.trc_rbox_container{text-align:left!important}.trc_user_exclude_btn{z-index:500!important}.sport-live .trc_rbox_header_span{color:#00adc8}.trc_rbox_header_span{font-size:30px;line-height:1.5}.trc_elastic .thumbnails-a .video-label-box{height:auto}


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *