
ภายหลังรัฐบาลไทยขยายการดำเนินการนโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” ทั่วประเทศเมื่อวันที่ 1 ม.ค. ที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ด้านทันตกรรมได้ที่ “คลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น” ซึ่งเป็นคลินิกทันตกรรมเอกชนที่เข้าร่วมให้บริการภายใต้นโยบายดังกล่าว ผ่านความร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
ประชาชนเพียงแสดงบัตรประชาชนเพื่อขอรับบริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สิทธิประโยชน์ครอบคลุม 5 บริการ ได้แก่ ขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟัน เคลือบหลุมร่องฟัน และเคลือบฟลูออไรด์ สามารถรับบริการได้ 3 ครั้งต่อปี หากครบแล้วสามารถรับบริการต่อได้ที่หน่วยบริการตามสิทธิ หรือโรงพยาบาลประจำอำเภอหรือจังหวัด
ปัจจุบัน มีคลินิกเข้าร่วมให้บริการแล้วเกือบ 1,400 แห่ง และข้อมูลจาก สปสช. ยังชี้ว่ามีประชาชนใช้สิทธิบัตรทองทำฟันมากถึง 3.17 ล้านครั้งในปี 2566 จำนวนสูงเป็นอันดับที่ 7 ของจำนวนการเข้ารับบริการผู้ป่วยนอกทั้งหมด
ทั้งนี้ มีกลุ่มอายุ 5-14 ปี เข้ารับบริการเกือบครึ่ง อยู่ที่ 1.5 ล้านครั้ง รองลงมาเป็นวัยแรงงานอายุ 15-59 ปี อยู่ที่ 1 ล้านครั้ง และกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปประมาณ 7.8 แสนครั้ง สะท้อนว่าทุกกลุ่มประชากรสามารถเข้าถึงบริการทันตกรรมภายใต้สิทธิบัตรทอง
ความก้าวหน้านี้ แสดงความมุ่งมั่นของไทยในการทำ “ปฏิญญากรุงเทพ” ให้สำเร็จ
ปฏิญญาปฏิญญากรุงเทพได้รับการรับรองโดยประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก (World Health Organization หรือ WHO) ในระหว่างการประชุมระดับโลกด้วยสุขภาพช่องปาก ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 26-29 พ.ย. 2567
ในระหว่างการรับรองปฏิญญา ประเทศสมาชิกร่วมแสดงความมุ่งมั่นในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการระดับโลกว่าด้วยสุขภาพช่องปาก 2566-2573 มีเป้าหมายทำให้ว่าประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพช่องปากที่จำเป็นได้อย่างครอบคลุมในราคาที่เหมาะสม
คำมั่นสัญญานี้เกิดขึ้นจากข้อเท็จจริงที่ว่า ยังมีประชากรทั่วโลกถึง 3,500 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากโรคในช่องปาก นานาประเทศจึงเห็นควรให้ต้องผลักดันให้โรคในช่องปากเป็นส่วนหนึ่งของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ในระหว่างการประชุมระดับสูงสมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรังครั้งที่ 4 (4th UNHLM on NCDs) ที่จะเกิดขึ้นในเดือน ก.ย. ปีนี้
ส่วนหนึ่งของเนื้อหาในปฏิญญาระบุว่า “การส่งเสริมสุขภาพช่องปาก และการป้องกันและจัดการโรคในช่องปากต้องได้รับความสำคัญอย่างเร่งด่วน เนื่องจากผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อระบบสาธารณสุข ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว โดยบูรณาการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการลดภาระโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง”
รวมถึง “ปกป้องประชาชนจากปัจจัยเสี่ยงหลัก ได้แก่ การใช้ยาสูบ การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเป็นอันตราย การขาดการออกกำลังกาย มลพิษทางอากาศ และพฤติกรรม
ทั้งยังเรียกร้องให้มีการบรรจุเป้าหมาย 3 ข้อที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพช่องปากไว้ในการกรอบการทำงานติดตามโรคไม่ติดต่อเรื้อรังระดับโลก (Global Monitoring Framework for NCDs) ฉบับปรับปรุงใหม่ ได้แก่ ตั้งเป้าหมายให้ประชากรโลก 80% มีสิทธิได้รับบริการสุขภาพช่องปากที่จำเป็นภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าภายในปี 2573 ลดอัตราความชุกของโรคและภาวะความผิดปกติในช่องปากที่สำคัญตลอดช่วงชีวิตของประชากรโลกให้ได้ 10% รวมทั้งมีประเทศอย่างน้อย 50% ที่ดำเนินมาตรการลดการบริโภคน้ำตาล
นอกจากนี้ นานาประเทศยังเรียกร้องให้บูรณาการชุดสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพช่องปากที่จำเป็น เข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของแต่ละประเทศภายในปี 2573
พร้อมกระตุ้นให้รัฐบาลพัฒนาและดำเนินการแผนปฏิบัติการระดับชาติด้านสุขภาพช่องปาก ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศ คำนึงถึงความสำคัญของสุขภาพช่องปากในยุทธศาสตร์สุขภาพแห่งชาติ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ไม่จะเป็นชุมชนและภาคเอกชน
ทั้งนี้ ปฏิญญากรุงเทพได้รวมข้อเสนอที่จะทำให้ประชาชนมีสุขภาพช่องปากดี โดยต้องมีการดำเนินการในหลายด้าน
ในด้านธรรมาภิบาล ต้องมีการเสริมสร้างภาวะผู้นำด้านนี้ จัดสรรงบประมาณด้านสุขภาพช่องปากอย่างยั่งยืน เพิ่มทรัพยากรมาแก้ปัญหาด้านนี้ และจัดทำฐานข้อมูลที่โปร่งใส โดยที่บริการด้านสุขภาพช่องปากต้องมีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ และราคาเข้าถึงได้
สำหรับด้านการส่งเสริมสุขภาพช่องปากและการป้องกันโรค ต้องขยายขอบเขตของนโยบายและโครงการที่มุ่งจัดการปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคช่องปากในประชากรทุกกลุ่ม เช่น อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ การบริโภคน้ำตาลสูง การใช้ยาสูบ และการบริโภคแอลกอฮอล์ รวมถึงปัจจัยเชิงสังคมและเศรษฐกิจที่เป็นต้นเหตุของพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้
ด้านบุคลากรด้านสุขภาพ ต้องขยายขีดความสามารถของบุคลากร เพื่อให้บริการป้องกันโรคและดูแลสุขภาพช่องปากในระดับชุมชน ทั้งในภาครัฐและเอกชน เน้นการดูแลสุขภาพปฐมภูมิ พร้อมลงทุนในระบบการศึกษา การฝึกอบรม และแนวทางการรักษาบุคลากรด้านสุขภาพช่องปากให้อยู่ในระบบได้ยาวนาน
ในด้านการให้บริการ ต้องมีชุดสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค เน้นการตรวจพบปัญหาแต่เนิ่นๆ และดูแลรักษาอย่างทันท่วงที ทำให้ประชาชนเข้าถึงยาและผลิตภัณฑ์ทางทันตกรรมที่จำเป็น
นอกจากนี้ ต้องเน้นทำระบบข้อมูลด้านสุขภาพช่องปากที่สร้างระบบเฝ้าระวังโรคในช่องปาก สามารถติดตามความชุกของโรค ติดตามผลหารทำงานและผลการบูรณาการกับการเฝ้าระวังโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่น ๆ รวมทั้งยกระดับงานวิจัยด้านสุขภาพช่องปาก
อ่านปฏิญญาฉบับเต็ม : who.int