ดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม MINT เปิดเผยว่า มากกว่า 50% ของจำนวนห้องพักและร้านอาหารที่บริษัทจะขยายการเติบโต เป็นโมเดล “การรับบริหาร” (Asset-light) นี่คือโมเดลธุรกิจที่จะทำให้คนรู้จักแบรนด์โรงแรมและร้านอาหารในเครือไมเนอร์มากขึ้น! เพื่อลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร แต่สามารถเพิ่มกำไร สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าการเป็นเจ้าของโรงแรมและร้านอาหารโดยตรง ซึ่งบริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ในระดับ High Single-digit และการเติบโตของกำไรสุทธิระดับ 15-20% ต่อปี

“เครือไมเนอร์ตั้งงบลงทุน (CAPEX) ในช่วง 3 ปีนับจากนี้ ตั้งแต่ปี 2568-2570 เฉลี่ย 10,000-12,000 ล้านบาทต่อปี เฉพาะในปีนี้ใช้งบลงทุน 11,000 ล้านบาท”

 

กลยุทธ์หลักคือการเจาะ “พื้นที่ใหม่” ในการขยายโรงแรมและร้านอาหาร อาทิ ภูมิภาคอเมริกา ทั้งสหรัฐ เม็กซิโก และคิวบา รวมถึงภูมิภาคตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย ขณะที่ภูมิภาคเอเชีย รุกอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดมีประชากรขนาดใหญ่ เศรษฐกิจกำลังมาแรง ส่วนสิงคโปร์ กำลังจะเปิดโรงแรมใหม่ในอีก 3 ปีข้างหน้า และ ญี่ปุ่นที่ภาคการท่องเที่ยวกำลังโดดเด่นจากการขยายตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ล่าสุดไมเนอร์เพิ่งประกาศร่วมทุนกับบริษัท รอยัล โฮลดิ้งส์ จำกัด ผู้ประกอบการโรงแรมและร้านอาหารชั้นนำในญี่ปุ่น ขยายโรงแรมระดับหรูและไลฟ์สไตล์ของเครือไมเนอร์ ได้แก่ แบรนด์อนันตรา อวานี และทิโวลี ให้ได้ 22 แห่งภายในปี 2578 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า

เฉพาะ “ธุรกิจโรงแรม” บริษัทจะขยายพอร์ตโฟลิโอเพิ่มเป็น “1,000 แห่ง” ภายในปี 2572 โฟกัสการเปิดโรงแรมใหม่ในยุโรป เอเชีย และตะวันออกกลาง หลังจากปี 2567 เปิดโรงแรมใหม่ 30 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพักกว่า 3,000 ห้อง ภายใต้โมเดลการรับบริหารเป็นหลัก

โดยไฮไลต์การเปิดตัวโรงแรมในปีที่แล้ว อาทิ โรงแรม NH Collection Helsinki Grand Hansa ในฟินแลนด์, โรงแรม Anantara Stanley & Livingstone Victoria Falls ในซิมบับเว และ Anantara Jewel Bagh Jaipur Hotel ในอินเดีย ช่วยเสริมสร้างความเป็นผู้นำของเครือไมเนอร์ในตลาดใหม่ๆ ที่มีอัตราการเติบโตสูง

ขณะที่ปี 2568 จะเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 54 แห่ง หลังได้เซ็นสัญญาและอยู่ระหว่างพัฒนาแล้วกว่า 100 แห่ง โดยเป็นโรงแรมที่เครือไมเนอร์เข้ารับบริหารมากกว่า 80%

“บริษัทมีแผนตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIT เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่เราจะทำให้สำเร็จภายในปลายปีนี้ เพื่อลดหนี้และขยายกิจการ โดยขนาดกองทรัสต์ฯ อยู่ที่ 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าจะระดมทุนได้ 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ”

ด้าน “ธุรกิจร้านอาหาร” มุ่งเพิ่มสัดส่วนร้านอาหารที่เป็นแฟรนไชส์มากขึ้น จากจุดแข็งเรื่องการมีแบรนด์แวลูที่แข็งแกร่ง เช่น แบรนด์ “บอนชอน” และ “กาก้า” ที่จะบุกเพิ่ม อย่างตลาดอินโดนีเซียที่มีฐานประชากรขนาดใหญ่ มีศักยภาพในการเติบโตสูง จะนำแบรนด์ แดรี่ควีน และกาก้า ไปขยาย

“ไมเนอร์ฟู้ด (Minor Food) เป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของธุรกิจอาหาร ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่ไปในระดับภูมิภาคแล้ว ส่วนไมเนอร์ โฮเทลส์ (Minor Hotels) โรงแรมในเครือเรา ถือเป็นฮอสพิทาลิตี้กรุ๊ประดับโลกแล้ว”

ดิลิป กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2567 บริษัทสร้างผลการดำเนินงานทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งมา โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 7,750 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบกับปีก่อน ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นนี้สะท้อนถึงการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม ความต้องการเดินทางทั่วโลกที่ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง และสถานะทางการเงินที่ดีขึ้น

ความแข็งแกร่งต่อเนื่องในธุรกิจโรงแรมขับเคลื่อนโดยการเติบโตของ “รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน” (RevPAR) และการขยายตัวของตลาด ควบคู่ไปกับผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจร้านอาหารที่ได้รับแรงหนุนจากนวัตกรรมของแบรนด์และจำนวนลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังประสบความสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิการดำเนินงาน โดยได้รับประโยชน์จากโมเดล Asset-light Model ที่เติบโตขึ้น ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงวินัยทางการเงินผ่านการลดหนี้

เมื่อดูเฉพาะไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 3,632 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 269% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นการวางรากฐานสำหรับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในปี 2568

ดิลิป ราชากาเรีย