ป้ามีเงิน 80 บาท ติดตัวนั่งรถร้องศูนย์ดำรงธรรม โดนบังคับคดียึดบ้าน ทั้งที่ไม่ได้กู้หนี้ไม่รู้จักแม้กระทั่งบัตรเครดิต ล่าสุดตรวจสอบพบยึดผิดคนจริง
ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดพัทลุงว่า นางบุญทา ด้วงรอด อายุ 54 ปี พร้อมแม่นางน้ำ ด้วงรอด อายุ 75 ปี ชาวบ้าน ต.โคกม่วง อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง มีเงิน 80 บาท นั่งรถตู้โดยสารจากบ้าน พื้นที่ อ.เขาชัยสน ไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพัทลุงเหลือเงินติดตัวเพียง 20 บาท เพื่อเข้าร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดให้ช่วยเหลือ หลังถูกกรมบังคับคดีมาปิดบังคับคดีขายทอดตลาดบ้าน ที่ตัวเองอาศัย โดยที่เจ้าตัวและแม่งงว่าเรื่องอะไร
ขณะเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพัทลุง ระบุว่า เรื่องดังกล่าวหมดอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดแ ต่ทางศูนย์ดำรงค์ธรรมจังหวัดแนะนำให้ไปพบอัยการคุ้มครองสิทธิ์ ที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัดพัทลุง โดยเจ้าหน้าที่บอกว่าต้องรอ เพราะต้องผ่านการประชุมของคณะกรรมการอีก 1 เดือน ทำให้ 2 แม่ลูกยิ่งกังวลขึ้นไปอีก เพราะหากเวลานานไปบ้านถูกขายทอดตลาดแน่นอน
โดยนางน้ำด้วง อายุ 75 ปี ผู้เป็นแม่เล่าว่า วันนั้นที่อยู่บ้านมีเจ้าหน้าที่บังคับคดี 2 คน เดินทางมาปิดป้ายบ้านเพื่อขายทอดตลาดตนเองก็งงเลยถามว่าเรื่องอะไร เจ้าหน้าที่บอกว่าเจ้าของบ้านโดนฟ้งคดีกู้ยืมเงินแล้วไม่จ่าย ถูกฟ้องบังคับคดี ในจำนวน 150,000 บาท เมื่อตอนปี 2562 ตนถามเจ้าหน้าที่กลับไปว่าแล้วไปยืมเงินใคร เจ้าหน้าที่บอกเจ้าหนี้อยู่กทม.ยิ่งทำให้ตนงงเข้าไปอีก พร้อมทั้งบอกจะยืมเงินเป็นแสนได้อย่างไร ขนาด 1,000 ยังยืมใครก็ไม่ได้ เพราะเราฐานะยากจนมีรายได้แค่วันละไม่เกิน 300 บาท จากการรับจ้างทำงาน แล้วจะไปยืมเงินใครได้
ด้านนางบุญทา ลูกสาวที่ถูกฟ้องกล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือน พ.ย.2566 เจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีมาที่บ้านปิดป้ายบ้านขายทอดตลาด ตนเองงงและตกใจเพราะไม่เคยไปยืมหรือกู้เงินใครได้ถึงขนาดนั้น โดยเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีบอกถ้าจะทราบข้อมูลข้อให้ไปคัดลอกข้อมูลจากศาล โดยตนเองก็ไม่ทราบว่าศาลตั้งอยู่ที่ไหน ได้ชวนผู้ใหญ่บ้านไปเพื่อดูเอกสาร ที่ตนเองถูกฟ้อง ซึ่งตนเองก็ไม่เคยรู้จักโจทก์ว่าอยู่ที่ไหน มาทราบอีกทีว่าอยู่ กทม. ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านด้วยความตกใจ ว่าต่อไปเราจะไม่มีบ้านอยู่แล้วเหรอ บ้านถูกยึดทั้งที่เราไม่ได้กู้ยืมเงิน
ตนยอมรับว่าจากการดูเอกสารที่ถูกยื่นฟ้อง ยืนยันลายมือชื่อไม่ตรงกับตน อายุก็ไม่ตรง ในสัญญาเงินกู้ก็มีการแก้ตัวเลข โดยเขียนให้ดูและเอาเอกสารที่เคยลงลายมือชื่อไว้ และการพิจารณาคดีตนเองก็ไม่เคยรับหมายศาลแม่แต่ครั้งเดียวก่อนหน้านี้
นางบุญทา ผู้ถูกฟ้อง กล่าวทั้งน้ำตา จะสู้คดีก็ยังไม่มีเงินจ้างทนายให้ช่วยรื้อคดีใหม่ให้ โดยทนายขอ 10,000 บาท เพื่อรื้อคดีให้แต่ตนพยายามหาเงินมาเกือบ 3 เดือนยังไม่ได้เงินก้อนดังกล่าวให้ทนาย จนไม่รู้จะพึ่งใคร จึงเข้าร้องขอความช่วยเหลือจากนายไสว รุยันต์ ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดพัทลุง
สำหรับการฟ้องดังกล่าวฟ้องผ่านระบบอิเล็กทรอนิค ในสัญญากู้ยืมเงิน นางบุญทา ได้กู้ยืมเงิน 3 ครั้ง ครั้งแรก 60,000 บาท ครั้งที่สอง 60,000 บาทและครั้งที่ 30,000 รวมเป็นเงิน 150,000บาท โดยยอดเงินกู้ผ่านบัตรเครดิต จึงทำให้นางบุญทา ยิ่งสงสัย เพราะเธอไม่รู้จักบัตรเครดิตเลย ไม่เคยใช้ ไม่เคยมี
ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปศาลจังหวัดพัทลุง เพื่อสอบถามข้อมูลโดยได้รับข้อมูลจากศาลในการตรวจสอบสำนวน พบว่ามีความผิดปกติ โดยศาลได้เรียกทนายผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เข้าพบพูดคุยในคดีดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือนางบุญทา ด้วงรอด ผู้ถูกฟ้อง
โดยนางบุญทา ผู้ถูกฟ้องเตรียมเดินทางมายังศาลพร้อมทนาย ในวันพรุ่งนี้ (23กุมภาพันธ์ 67) เพื่อขอคัดค้านดังกล่าว ที่ศาลจังหวัดพัทลุง.