ร.ศ.นพ.ภัทรภูมิ โพธิ์พงษ์ สูตินรีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ และการรักษาภาวะมีบุตรยาก กล่าวถึง จุดเริ่มต้นของคลินิก IWC เกิดจากความสนใจในเรื่องของยีนส์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนามนุษย์ให้มีความก้าวหน้า แตกต่างด้วยการแบ่งสัญชาติ การแบ่งลักษณะ อัตลักษณ์ของผู้คน เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หมอสนใจ และอยากให้การพัฒนาเรื่องยีนส์เป็นจุดแข็งที่สามารถนำมาปรับใช้กับการรักษาภาวะมีบุตรยากและโรคทางพันธุกรรมได้ จึงเป็นที่มาของการเปิดคลินิก IWC 10 ปี แห่งความสำเร็จกับการเติมเต็มครอบครัวที่สมบูรณ์ ให้กับผู้ที่มีบุตรยาก หรือผู้ต้องการปกป้องลูกน้อยจากโรคทางพันธุกรรม ปัจจุบันการวางแผนการมีบุตรเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก ผู้คนมีความเข้าใจในด้านการทำเด็กหลอดแก้ว หรือเรียกสั้นๆ ว่าการทำ IVF เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอัตรากลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้น หลากหลายอาชีพ หลากหลายช่วงอายุ เพราะในปัจจุบัน การทำ IVF มีมาตรฐาน และมีอัตราความสำเร็จสูงขึ้น

“อัตราการตั้งครรภ์ที่ 70-80 % และกว่าหลายร้อยเคสที่สามารถป้องกันโรคทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ สู่ลูกน้อย คือ การตอกย้ำความสำเร็จตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังได้เพิ่มศักยภาพ และเล็งเห็นความสำคัญของกลุ่มผู้หญิงยุคใหม่ที่มีความสนใจในเรื่องของเทคโนโลยี และนวัตกรรมการวางแผนการมีลูกเมื่อพร้อม ด้วยความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์มากกว่า 20 ปี”

แพทย์หญิงวรัญญา สิริธนาสาร สูตินรีแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ และการรักษาภาวะมีบุตรยาก 1 ในทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่า ปัจจุบันยุคที่สังคมการใช้ชีวิต การทำงาน บทบาทหน้าที่ของผู้หญิงในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลง และไลฟ์สไตล์แตกต่างจากเดิม ดังนั้น โปรแกรมฝากไข่ จึงเป็นบริการที่ตอบโจทย์กับผู้หญิงยุคนี้ เพราะเป็นตัวช่วยให้บรรลุเป้าหมายในวันที่ต้องการมีลูกเมื่อพร้อมและมั่นคง สาวๆ ที่สนใจสามารถเริ่มเข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อพูดคุย และวางแผนตั้งแต่เนิ่นๆ ได้ 

“คลินิก IWC มีแม่จำนวนมากที่ตั้งครรภ์ในวัย 40 ปี ขึ้นไป ประสบความสำเร็จเรื่องการมีบุตร ทั้งนี้เพราะการไม่หยุดพัฒนาของทีมแพทย์ รวมถึงการคัดสรรเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่ว่าคู่สมรสจะมีปัญหาด้านโรคทางพันธุกรรม หรือปัญหาที่เกิดจากสุขภาพของฝ่ายหญิง ไม่ว่าจะเป็นท่อนำไข่อุดตัน พังผืด หรือช็อกโกแลตซีสต์ แม้แต่ปัญหาอสุจิของผู้ชาย เหล่านี้คือ สาเหตุของ ปัญหาการมีบุตรยาก การตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาติจะมีโอกาสน้อยมาก IWC จึงมุ่งเน้นไปที่ปัญหาของคนไข้แต่ละราย หรือที่เรียกว่า การรักษาแบบ Personalization เพื่อให้ทีมแพทย์สามารถออกแบบการรักษาให้สอดคล้องกับผู้ป่วยแต่ละราย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในการรักษาได้”