“ศรีสุวรรณ” ร้องแพทยสภาสอบจริยธรรม หมอราชทัณฑ์ – รพ.ตำรวจ ส่อเอื้อประโยชน์ “ทักษิณ” ไม่ต้องนอนคุก
วันที่ 24 ต.ค. 66 ที่สำนักงานเลขาธิการแพทยสภา กระทรวงสสาธารณสุข นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน นำเอกสารเข้าร้องเรียนต่อคณะกรรมการแพทยสภา เพื่อขอให้ตรวจสอบแพทย์ผู้วินิจฉัยและทำรักษานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจเข้าข่ายประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม กรณีทำความเห็นทางการแพทย์เอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณ ไม่ต้องถูกขังคุก โดยใช้วิชาชีพเวชกรรมมาเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรม ทำให้กระบวนการยุติธรรมเสื่อมเสียอย่างรุนแรงหรือไม่
โดยนายศรีสุวรรณ ระบุว่า ขอให้แพทยสภาตรวจสอบว่า การวินิจฉัยของแพทย์รพ.ราชทัณฑ์นั้นเป็นไปตามหลักวิชาชีพเวชกรรมหรือไม่ ยืนยันและเชื่อถือได้อย่างไรว่า การวินิจฉัยรักษาของนายทักษิณที่เดินทางมาจากต่างประเทศนั้น เป็นของจริง หรือเป็นเอกสารที่เมคกันขึ้นมาเพื่อตบตาหรือไม่ เพราะอยู่ๆ เข้ามารายงานตัวเข้าเรือนจำ เพียงแค่เห็นเอกสารแล้วอนุมัติเลยถือว่าผิดปกติ พอส่งเข้ารพ.ตำรวจแล้วก็มีข้อพิรุธมากมาย เพราะพอครบ 30 วัน ก็ออกมาบอกว่าได้ทำการผ่าตัด แต่ไม่ยอมบอกสังคมว่าผ่าตัดอะไร อ้างอย่างเดียวว่า เป็นความลับของผู้ป่วยตามพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเราเข้าใจดีว่า ข้อมูลของผู้ป่วยเป็นสิ่งต้องห้าม แต่เมื่อวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา เอาตัวนายทักษิณเข้าผ่าตัดโรคเกี่ยวกับกระดูก ทั้งๆ ที่บอกว่ารักษาตัวอะไรไม่ได้ แต่พอมีภาคประชาชนไปคัดค้านที่รพ.ตำรวจ รวมถึงตนที่บอกว่า จะมายื่นเรื่องที่แพทยสภา กลับออกมาบอกว่านายทักษิณป่วย ต้องผ่าตัดโรคเกี่ยวกับกระดูก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงข้อพิรุธหลายประการ รวมทั้งก่อนหน้านี้จะมีการครบ 60 วัน ในการรักษาตามกฎกระทรวงที่ต้องรายงานไปยังอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และปลัดกระทรวงยุติธรรมรับทราบ ก็มีการโชว์ภาพ ภาพไปทางสื่อต่างๆ โดยมีหมอ พยาบาลร่วมในเฟรมด้วย ถือเป็นผู้มีส่วนร่วม หรือให้การสนับสนุน เพราะเราไม่เคยเชื่อว่า นายทักษิณจะป่วยจริง เพราะเวลาอยู่ต่างประเทศโชว์ความแข็งแรงของร่างกายทั้งว่ายน้ำ ฟิตเนส รวมถึงลูกสาวที่ไปเยี่ยมที่ต่างประเทศก็ระบุในอินสตราแกรม เฟสบุ๊กว่าสุขภาพนายทักษิณแข็งแรง แต่พอเหยียบเท้าเข้าราชทัณฑ์เท่านั้นกลายเป็นตาแก่อมโรค
ดังนั้นแพทย์ที่ร่วมกระบวนการต้องได้รับการตรวจสอบจากแพทยสภาว่า เป็นไปตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมหรือไม่ ทั้งรพ.ราชทัณฑ์ และรพ.ตำรวจว่าเป็นการเกี้ยะเซี๊ยะ เอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณหรือไม่หากพบว่า เข้าข่าย ก็ต้องดำเนินการตามวิชาชีพเวชกรรมก็จะมีบทลงโทษเป็นขั้นเป็นตอนอยู่แล้ว หากเพิกเฉยตนก็จะฟ้องร้องแพทยสภาต่อศาลปกครองต่อไป แพทยสภาคงไม่อยากเสี่ยง
นอกจากนี้ นายศรีสุวรรณ ยังกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนได้ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการของหน่วยงาน แต่จะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อยื่นเพิ่มเติม แต่ประเด็นสำคัญคือจะต้องนำไปสู่การฟ้องอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เพราะการที่เอานายทักษิณไปรักษานอกรพ.ราชทัณฑ์ไม่เป็นไปตามพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ เพราะโรคที่นายทักษิณป่วย ไม่อยู่ในโรคที่พ.ร.บ.ราชทัณฑ์กำหนดให้ต้องไปรักษานอกราชทัณฑ์
ด้าน ผศ.นพ.ต่อพล วัฒนา ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภาด้านกฎหมาย กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า หลังจากรับหนังสือต้องให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาถึงรายละเอียดของหนังสือร้องเรียน จากนั้นจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการแพทยสภา ซึ่งกระบวนการเป็นไปตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรมฯ ส่วนจะตั้งคณะอนุฯ มาพิจารณาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของบอร์ด ดังนั้น ขณะนี้ยังตอบอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ และยังไม่สามารถกำหนดระยะเวลาของขั้นตอนดำเนินการได้ รวมไปถึงจะต้องเชิญแพทย์หรือผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ข้อมูลหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกรรมการฯและหลักฐานทั้งหมด สำหรับบทลงโทษหากพบการกระทำผิดจริงมีตั้งแต่ตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใช้ใบอนุญาต จนถึงเพิกถอนใบอนุญาตวิชาชีพ ทั้งนี้ ทุกอย่างเป็นการดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ได้กังวลอะไร เพราะมีขั้นตอนดำเนินการอยู่แล้ว