แจกเงินดิจิทัล 1 หมื่น รวน ‘อุ๊งอิ๊ง’ ขยับเข้าโหมด ‘สแตนด์บาย’


แนวรบฝ่ายต้านทำอภิมหาโปรเจกต์ นโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท สะดุด ยิ่งเดินยิ่งสะดุด เจอแต่ขวากหนามเต็มไปหมด 

จากเดิม เสี่ยนิด นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งใจจะประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด 

ขณะที่รัฐบาลพยายามจะลดแรงเสียดทาน เสมือนหนึ่งรับฟังเสียงท้วงติง โดยคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่มี เสี่ยหนิม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน โยน 3 ทางเลือกออกมาหยั่งกระแสสังคม ได้แก่  

1.ตัดคนมีรายได้เกิน 50,000 บาทต่อเดือน และมีเงินในบัญชีมากกว่า 500,000 บาท ซึ่งจะเหลือผู้เข้าเกณฑ์ 49 ล้านคน ใช้งบประมาณ 4.9 แสนล้านบาท 

2.ตัดคนที่มีรายได้เกิน 25,000 บาทต่อเดือน และมีเงินในบัญชีมากกว่า 100,000 บาทออก จะเหลือผู้ที่เข้าเกณฑ์ 43 ล้านคน ใช้งบประมาณ 4.3 แสนล้านบาท 

และ 3.ให้เฉพาะกลุ่มเปราะบาง ในกลุ่มผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐราว 15-16 ล้านคน ใช้งบประมาณ 1.5-1.6 แสนล้านบาท แต่ทางเลือกนี้จะไม่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ 

แต่มิวายยังถูกวิพากษ์วิจารณ์เหมือนเดิม โดย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้จังหวะตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการตอกย้ำว่ารัฐบาลน่าจะมีปัญหาเรื่องงบประมาณที่จะนำมาใช้ในโครงการ ถึงได้ลดจำนวนคนที่ได้รับประโยชน์ นอกจากนี้ยังบลัฟ 3 แนวทางของคณะอนุกรรมการฯ ว่าไม่ได้ช่วยอะไรมากนักในแง่ของการลดงบประมาณ 

“จริงๆ ลดไปแค่นิดเดียว หากใช้เกณฑ์แรกจะลดลงไปแค่ 13 ล้านคน หากใช้เกณฑ์ที่สองจะลดไปแค่ 7 ล้านคน ดังนั้น การปรับหลักเกณฑ์เหล่านี้อาจไม่ช่วยอะไรมากนักในแง่ประหยัดงบประมาณลง เป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องคำนึงว่าจะทำอย่างไรต่อ แต่ถ้าปรับไปใช้ทางเลือกที่สาม คือ ใช้เกณฑ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็จะไม่ใช่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยซ้ำ” 

นี่ขนาดปรับให้เข้ากับเสียงท้วงติงก็ยังโดนอยู่ดี ซึ่งก็เป็นไปตามอารมณ์ถอนหายใจของ เศรษฐา ที่ตอบคำถามนักข่าวถึงกรณีหากไม่ได้เงินทุกคน 

“เนี่ย เห็นไหม ยังไม่ตอบเลยว่าจะลดอะไรอย่างไร คุณก็ถามแล้ว ผมไม่ได้บอกเลยว่าผมจะลด ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไม่ให้ จะเอาอย่างไรยังไม่ได้บอกเลย ผมไม่อยากให้เกิดความสับสน อยากจะตอบต้องตอบให้หมด”

สถานการณ์รัฐบาลกับนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทตอนนี้อยู่ในสภาวะโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ถอยก็โดน ไม่ถอยก็โดน  

ที่สำคัญ จะถอยมากก็ไม่ได้ เพราะถ้าถอยมากนโยบายก็ไม่ปังสมราคา ไม่ส่งผลต่อคะแนนนิยมในสนามเลือกตั้งครั้งต่อไป แถมยังถูกค่อนแคะเรื่องฝีมือ 

แต่ครั้นจะเดินหน้าเต็มอัตราก็เสี่ยงจะพัง โดยเฉพาะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่นั่งลับดาบรอ โดยล่าสุดตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet มีหน้าที่และอำนาจในการรวบรวมและดำเนินการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริต     

คณะกรรมการเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญทั้งจากภาครัฐและเอกชน แต่ที่ทำเอาสะดุดคือ ประธานคณะกรรมการที่ปรากฏชื่อ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ หนึ่งในกรรมการ ป.ป.ช.

ชื่อนี้พรรคเพื่อไทยและรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รู้จักดี เป็นอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และข้าราชการไม่กี่คนในตอนนั้นที่ออกมาคัดค้านโครงการรับจำนำข้าว จนได้รับการยกย่องว่าเป็น สายตงฉิน 

เป็นเหมือนเส้นขนานกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่รับราชการ จนมาถึงเป็นกรรมการ ป.ป.ช.   

แค่เห็นชื่อนี้ รัฐบาลนายเศรษฐายิ่งต้องระวัง พลาดขึ้นมา ป.ป.ช. ไม่ปล่อยไว้แน่  

ขณะที่คณะกรรมการศึกษาของ ป.ป.ช. ยังมีผู้เชี่ยวชาญที่เคยออกมาคัดค้านนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตร่วมอยู่ด้วย อย่างเช่น ดร.ศิริลักษณา คอมันตร์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตที่ปรึกษาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งก็เคยคัดค้านโครงการรับจำนำข้าวมาแล้วด้วย 

ฉะนั้น รัฐบาลนายเศรษฐาแทบไม่มีโอกาสได้พลาดในนโยบายนี้เลย  

ยิ่งมีการนำกรณีโครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเปรียบเทียบกรณีเกิดความเสียหายจากโครงการ ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูล ข้อหาไม่ระงับยับยั้งความเสียหายทั้งที่รู้ว่าจะเกิด ยิ่งทำให้หลอกหลอนผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนายเศรษฐา ที่เป็นทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงการโดยตรง  

อีกทั้งยังมีข่าวเสี้ยมออกมาว่า ป.ป.ช.ชุดนี้ไม่ได้มีมิตรไมตรีกับรัฐบาลชุดนี้เหมือนกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่กลับมาเป็น ป.ป.ช.สายที่พร้อมจะฟันทุกคนหากก้าวพลาด 

โดยมีความพยายามเอาความสัมพันธ์ของกรรมการ ป.ป.ช.บางคนกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มามโนว่า อาจจะมีการใช้เรื่องนี้เพื่อล้างแค้นให้กับใครบางคนที่ต้องช้ำเลือดช้ำหนอง อกหักไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี  

ทึกทักกันไปใหญ่โต ระวังจะใช้เรื่องนี้เพื่อ เอาคืน 

ซึ่งมันก็โยงไปถึงการเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยชุดใหม่ ที่ขยับตัวละครสำคัญอย่าง อุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ที่เป็นตำแหน่งนามธรรม มาเป็น หัวหน้าพรรคเพื่อไทย  

ขณะที่คณะกรรมการบริหารพรรคก็มีการปรับลุกส์ใหม่ ใช้คนรุ่นใหม่มาล้อกับกระแสสังคม ไม่ว่าจะเป็น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ทายาทของนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หลานชายนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, น.ส.จิราพร สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 

นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว ลูกชายนายเสนาะ เทียนทอง อดีตแกนนำกลุ่มวังน้ำเย็น ที่มาเป็นเลขาธิการพรรค, น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ สส.กทม. รวมไปถึงนายณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ลูกชายนายสาโรจน์ หงษ์ชูเวช คนสนิทของนายทักษิณ 

ซึ่งก็ถูกตั้งข้อสังเกตว่า การที่ตัดสินใจดัน น.ส.แพทองธาร มามีตำแหน่งทางการเมืองอย่างเป็นทางการในพรรค เหมือนเป็นการ สแตนด์บาย เอาไว้ 

ทั้งยังเป็นการปูทางสู่การเลือกตั้งครั้งหน้าที่ อุ๊งอิ๊ง จะถือธงนำเต็มตัว ไม่ต้องพึ่งสแตนด์อินจากคนนอกครอบครัวอีกแล้ว 

หรือกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินกับนายเศรษฐา ก็สามารถเปลี่ยนตัวผู้เล่นมาเป็น น.ส.แพทองธารได้  

โดยเฉพาะเรื่องนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ไม่รู้แนวรบฝ่ายตรงข้ามจะเล่นแรงขนาดไหน ซึ่งหากนายเศรษฐาไปต่อไม่ไหว ก็อาจจะไปเฉพาะตัว แต่รัฐบาลยังอยู่ แค่เปลี่ยนตัวผู้นำ 

หรือกรณีกระแสรัฐบาลไม่มี จำเป็นต้องหาจุดเปลี่ยน ก็อาจจะใช้สูตร นายกฯ คนละครึ่ง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสของนายเศรษฐาในปัจจุบันยังไม่ปังถึงขนาดที่พรรคเพื่อไทยหวังเอาไว้ 

ขณะที่ น.ส.แพทองธารเองก็มีเสียงซุบซิบออกมาตั้งแต่ภายหลังเลือกตั้งแล้วว่า อยากจะเป็นตัวจริงตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับไฟเขียวจากพ่อและแม่ ซึ่งยังไม่มั่นใจในสถานการณ์ ประกอบกับเรื่องของนายทักษิณยังไม่นิ่ง  

ช่วงที่ผ่านมาเลยทำได้แค่ปรากฏตัวตามงานต่างๆ ของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโอท็อป หรือซอฟต์เพาเวอร์  

ตอนนี้เหลือเพียงแค่วันไหนพ่อกับแม่อนุญาตแค่นั้น.


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *