.css-nh9sg4 #forum2022-logoSponsor{text-align:center;}.css-nh9sg4 .forum2022-logoSponsor-text{font-family:”KaLaTeXa Display”;font-size:10px;position:relative;z-index:3;}.css-nh9sg4 .forum2022-logoSponsor-text span{background-color:#ffffff;padding:0 10px;position:relative;z-index:3;}.css-nh9sg4 .forum2022-logoSponsor-text::after{content:””;height:1px;width:100%;background-color:rgb(216,216,216);position:absolute;top:50%;left:0;-webkit-transform:translateY(-50%);-ms-transform:translateY(-50%);transform:translateY(-50%);z-index:2;}.css-nh9sg4 ul.forum2022-logoSponsor{padding:0;margin:0;list-style:none;display:-webkit-box;display:-webkit-flex;display:-ms-flexbox;display:flex;-webkit-flex-wrap:wrap;-ms-flex-wrap:wrap;flex-wrap:wrap;gap:15px;-webkit-box-pack:center;-webkit-justify-content:center;-ms-flex-pack:center;justify-content:center;}.css-nh9sg4 ul.forum2022-logoSponsor li.forum2022-item-sponsor{height:80px;}.css-nh9sg4 ul.forum2022-logoSponsor li.forum2022-item-sponsor img{height:80px;}
ตามที่พาดหัว ผมอยากเรียนว่า ไม่ได้โปรฯ อะไรกับ Toyota ขนาดนั้นนะครับ แต่ถ้าพูดถึงรถเล็ก เกียร์ออโต้ สำหรับการใช้งานที่ทนทานจริงจัง พอเป็นรถมือสอง ยิ่งอายุมาก Toyota ยิ่งมีความเด่นเรื่องไม่จุกจิกแถมยังหาคนซ่อมได้ง่าย แต่ก็จะมีบางคนที่หากเลือกได้ ก็จะชอบแบรนด์ Honda มากกว่า บางคนไม่ชอบ Toyota แค่เพราะแท็กซี่ใช้ ซึ่งตลกดี ผมว่ารถที่แท็กซี่ใช้เยอะๆ นี่ล่ะเวลาซ่อมมันสบายสุด แต่เราไม่ว่ากันครับ ในเมื่อมีรถในราคาระดับนี้ให้เลือกมากมาย ถ้าคุณอยากได้ Honda มันก็เป็นไปได้ และบังเอิญว่าผมก็มีประสบการณ์ตรงกับ Civic โฉมนี้ เพราะรถในภาพนี้ เคยเป็นรถในบ้านผมมาก่อนนั่นเอง
รถคันสีดำที่คุณเห็นอยู่นี้ คือ Honda Civic 1.7 VTi (AS) Exclusive Package ซึ่งพ่อผมท่านซื้อให้พี่สาวเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2002 แล้วพี่สาวผมก็ใช้เจ้านี่อยู่เกือบสิบปี เปลี่ยนเป็น Suzuki Swift 1.2 เอาเดือนสิงหาคม 2012 รถคันสีดำนี้ก็ถูกเปลี่ยนมือไปสองครั้งในวงคนที่รู้จักกัน ป้ายทะเบียนก็ถูกเปลี่ยนสลับกับรถของน้องตี้เพจ Car Hub ซึ่งความที่ตี้ได้ช่วยเจ้าของคนที่สองขายรถคันนี้ จึงได้ถ่ายรูปเก็บไว้ ผมจึงขออนุญาตตี้นำรูปมาใช้เขียนประกอบบทความ เพราะใจจริงแล้วผมอยากใช้รูปรถจริงขายในไทยมากกว่ารูปรถเมืองนอกครับ
Civic รุ่นนี้ นับว่าเป็นเจเนอเรชันที่ 7 เปิดตัวในไทยเดือนพฤศจิกายนปี 2000 ถ้าคุณชอบเรียกรถตามรหัสตัวถังล่ะก็ Civic เครื่อง 1.7 เหล่านี้จะเรียกว่า “ES” ครับ (ส่วนรุ่น 2.0 ที่ตามมาภายหลังนั้นจะต่างออกไป ผมจำตัวอักษรไม่ได้) แต่หลายคนที่เกิดและโตทันยุคนั้นจะเรียกว่า “ซีวิคไดเมนชั่น” ถามว่าเออ Honda เขาทำการตลาดในชื่อนี้เหรอ ก็เปล่าเลยครับ แค่ว่าตอนเปิดตัว Honda ไทยมีสโลแกนว่า “มุมมองใหม่แห่งยนตรกรรมเหนือระดับ” แต่ในโฆษณาดันขึ้นเป็นคำว่า Civic New Dimension แล้วดันใช้ Font คำว่า New ต่างออกไปแล้วดันเอาไปไว้บรรทัดล่างร่วมกับ Dimension เมื่อมองผ่านๆ ก็อาจอ่านว่า New Civic Dimension ได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะยังไง นั่นคือประวัติว่าทำไมคนไทยยุคน้าๆ เรียกโฉมนี้ว่า “ไดเมนชั่น”
ราคาในสมัยนั้น รุ่นถูกสุด ตัว 1.7 EXi เกียร์ธรรมดา ไม่มี VTEC ไม่มี ABS และถุงลมนิรภัย ราคา 716,000 บาท ส่วนรุ่นท็อป 1.7 VTi (ASL) เครื่องยนต์ VTEC เกียร์อัตโนมัติ ABS/Dual SRS เบาะหนังจากโรงงาน ราคา 899,000 บาท ก่อนที่จะมีรุ่น 2.0 ตามมาในเกือบ 3 ปีหลังในราคา 997,000 บาท ตัวอักษร ในชื่อรุ่นมีความหมายเข้าใจง่ายครับ ในลอตแรกๆ ถ้าเห็น VTi แปลว่า มี VTEC ส่วน (AS) คือมีเบรก ABS และถุงลมนิรภัยคู่ (SRS) ส่วน (ASL) คือ เบรก ABS + ถุงลมคู่ และเบาะหุ้มหนัง (Leather) จากโรงงาน..ซึ่งอันที่จริงไอ้ตัวท็อป VTi (ASL) น่ะ แอบใส่เหล็กกันโคลงหลังมาเพิ่มด้วยนะครับ ลองไปก้มดู ถ้าเจอรถเครื่อง VTEC มีถุงลม มีเบาะหนัง ไม่มีกันโคลงหลัง เดาว่าเป็นรุ่น VTi (AS) แล้วไปใส่เบาะหนังเพิ่มเอง หรือแถมจากศูนย์ครับ
เมื่อครั้งเปิดตัว รถ Civic โฉมนี้ได้รับเสียงวิจารณ์แตกต่างกันออกไป ในแง่มุมของคนที่ชอบรถทรงสวยๆ รุ่นนี้โดนด่ายับเพราะไปทำตัวตามเทรนด์อ้วนใหญ่ภายในกว้าง ซึ่งคุณดูนะรถระดับนี้ราคานี้ช่วงข้ามศตวรรษมา ไปเน้นทรงแบบนี้กันหมดเพราะตลาดญี่ปุ่นก็อยากได้รถหลังคาโปร่ง ตลาดอเมริกา ลูกค้าก็นับวันมีแต่ตัวจะโตขึ้น รถ Compact ญี่ปุ่นช่วงปี 2000 จึงมักเน้นหลังคาสูง ประตูบานโตขึ้นลงง่าย ส่งผลให้บอดี้อวบอูมราวงูเหลือมกินหมาอิ่ม โฟกัสในเชิงวิศวกรรมก็ผันจากเรื่องซิ่งๆ ไปเป็นเรื่องการใช้งานมากขึ้น กลายเป็น Honda ที่จับใจวัยรุ่นน้อยลง แต่เข้าใจคนธรรมดาขับใช้งานจริงมากขึ้น
สิ่งที่ดูจะพัฒนาไปไกลขึ้น คือเรื่องความปลอดภัยในโครงสร้างตัวถัง G-CON โครงรถด้านข้างและเหล็กเสาหลังคา ออกแบบให้รับแรงได้ดีขึ้น การตกแต่งภายในดูสง่างามเรียบร้อยขึ้นแต่ยังคงหัวใจของ Honda ในการใช้งานที่ง่ายดาย ทุกอย่างอยู่ใกล้เอื้อม มีช่องเก็บของกระจุกกระจิกให้พอน่ารัก ที่สำคัญคือ พื้นที่ด้านหลังของรถและห้องโดยสาร กว้างขวางโอ่โถงขึ้นกว่ารุ่นเดิมโข จากหลังคาที่สูงโปร่งนั่นเอง แล้วก็ยังมีจุดขายอีกคือ พื้นห้องโดยสารด้านหลังที่ราบเรียบไม่มีปูดขึ้นมาตรงกลาง ซึ่งถ้าบ้านไหนนั่งห้าคนบ่อยๆ ไอ้คนตรงกลางน่าจะสบายขึ้น
เครื่องยนต์ 1.7 ลิตรใน Civic รุ่นนี้ มีสองแบบ คือ D17Z1 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ธรรมดา SOHC 120 แรงม้า และ D17A2 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ VTEC 130 แรงม้า ส่วนระบบส่งกำลังก็มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะและอัตโนมัติ 4 จังหวะ Grade Logic Control ซึ่งได้รับการปรับปรุงให้เปลี่ยนเกียร์ได้นิ่มขึ้นกว่าเกียร์ของ Civic รุ่นก่อนหน้ามาก และตามประสารถบ้าน คือรุ่นท็อปๆ ของครบจะมีแต่เกียร์อัตโนมัติเท่านั้น รถ VTEC เกียร์ธรรมดาจะไม่มีทั้งเบรก ABS และถุงลมนิรภัย
พูดถึงเครื่องยนต์ D17A2 VTEC ผมต้องบอกไว้ก่อนว่าสมัยนั้นผมเป็นวัยรุ่นที่กัดกับคนเก่งมาก จะต่อยกันหลายทีแล้วกับพวกเก่งด้วยความเชื่อ กล่าวคือ สมัยนั้นนักเลงรถบางคนไปได้อิทธิพลความคิดมาจากเครื่อง VTEC เลือดร้อนรอบสูงอย่างเครื่อง B16A หรือ B18C แล้วคิดว่า VTEC ทุกแบบในโลกเปิดที่ 5,500-5,700 รอบ สมัยนั้นชอบมีคนขับ Civic 1.7 แล้วบอกว่า “โหพอผมลากรอบไป 5,500 ปุ๊บ พอเทค (VTEC) เปิดอะมันไหลปลายอย่างลื่นเลย” ผมได้ยินกี่รอบก็อยากยกขาหลังเกาหูเป็นหมา เพราะมันกำลังหลอกตัวเองครับ VTEC ใน D17A2 ไม่ใช่ประเภทลากรอบสูงแล้ว กระเดื่องวิ่งเข้าไปล็อกให้ลูกเบี้ยวองศาสูงปรี๊ดมาตีกบาลกระเดื่องเปิดปิดวาล์ว แล้วทำให้รอบสูงปรี๊ดแบบรถแข่งทำเครื่องซะหน่อย
ในทางตรงกันข้าม SOHC VTEC ใน D17A2 นั้น มีหลักการทำงานคือ ในช่วงรอบต่ำกว่า 2,700 รอบต่อนาที วาล์วไอดีตัวนึงจะเปิดเต็มที่ อีกตัวนึงจะเปิดแบบแง้มๆ ทำให้เครื่องมีนิสัยรอบต่ำกดแล้วพุ่งดีเหมือนพวกรถ 2 วาล์วต่อสูบ แต่พอรอบเครื่องเกิน 2,700+คันเร่งถูกกดเข้าหน่อย กระเดื่อง VTEC จะวิ่งไปล็อกให้วาล์วไอดีเปิดเต็มที่ทั้งคู่ โดยที่องศาลูกเบี้ยวก็ไม่ได้เยอะเท่าไร พูดง่ายๆ คือ แทนที่จะทำเครื่องให้นิสัยเหมือน 16 วาล์วปกติ แล้วปรี๊ดลั่นในรอบสูง เครื่อง D17A2 จะเป็นเครื่องที่เร่งไปแบบปกติในรอบกลางและสูง แต่มีรอบต่ำดีเหมือนพวกเครื่องสี่สูบ 8 วาล์ว ทำมาเพื่อให้ขับในเมืองคล่องและประหยัดน้ำมัน
ซึ่งเป็นสิ่งที่เครื่องตัวนี้ทำได้ดี ผมขับรถพี่สาวออกต่างจังหวัดไปกับเพื่อนที่ขับ Civic ตาโตรุ่นก่อนหน้า เกียร์อัตโนมัติ วิ่งตามๆ กันไป สมัยนั้นผมยังเติมเบนซิน 95 กันอยู่นะยังไม่มี Gasohol รถคันผมบรรทุกน้ำหนักเยอะกว่า วิ่งไปหัวหิน ได้ 13.8 กิโลเมตรต่อลิตร ส่วนตาโตของเพื่อนอีกคนได้ 12 ปลายๆ โดยที่อย่าลืมว่า Civic 1.7 ล้อและยางเบอร์โตหน่วงแรงเครื่องกว่า ตัวรถก็หนักกว่า เอาไปเทียบกับ Toyota ก็จะแพ้ Vios ที่เป็นรถตามมาทีหลังแล้วเครื่องก็เล็ก รถก็เบา แต่ประหยัดน้ำมันกว่า Altis 1.8 และใกล้เคียง 1.6 โดยที่พละกำลังเวลาแซงก็ไล่ๆ Altis 1.8 ต้นแพ้นิดหน่อยแต่ปลายก็ยืดนิดๆ ผมเคยซิ่งไล่เพื่อนสมัยนั้นด้วยรถเดิมๆ เห็นตัวเลข 195 บนหน้าปัดได้แน่นอน แต่ยังไม่เคยเข็นข้าม 200 ได้..ต่างจากพวกรถเกียร์ธรรมดาที่ข้าม 200 กันแบบไม่ลุ้นเยี่ยวเหนียว
ถามว่าทำไมบทความนี้ผมเน้นไปที่รถ Civic 1.7 โฉมแรกๆ แทนที่จะเป็นโฉมไมเนอร์เชนจ์ 1 (ที่วง Honda เรียกว่ารุ่น Excite) หรือบิ๊กไมเนอร์เชนจ์ เพราะว่ารถสองรุ่นหลังนี้ปรับแก้ปัญหาไปหลายอย่าง ยิ่งรถบิ๊กไมเนอร์เชนจ์นั้นปรับปรุงหน้าตาจนหล่อเข้าที เปลี่ยนชุดเครื่องเสียงใหม่ เล่น MP3 ได้จากโรงงาน และปรับช่วงล่างจนนุ่มนวลขึ้น..ราคามือสองจึงยังลอยอยู่เหนือแสนบาทเสียส่วนมาก (พูดถึงราคาโพสต์นะครับไม่ใช่ราคาจบจริง) ในขณะที่รถลอตแรกๆ นั้นยุคนี้เข้ามาหลักหมื่น แพงกว่า Altis 1.6 แท็กซี่ปลดป้ายไปไม่กี่หมื่นด้วยสำหรับบางคันที่สภาพอาจจะไม่ถึงกับหมาฟัดแต่ไม่งามหยดติ๋ง รถพวกนี้แก่กว่า Jazz ตัวแรกไม่กี่ปีแต่ราคาถูกกว่ากัน 30,000-60,000 บาท สำหรับคนที่เน้นการใช้งานแล้วอยากเซฟเงิน ส่วนต่างตรงนี้ เอาไปซ่อมปรับปรุงสภาพรถได้แล้วใช้ต่อไปอีกหลายปีระหว่างเก็บเงินไปซื้อรถคันต่อไป
ส่วนรถคันสีดำในบทความนี้ ที่เป็นรถคันเดิมของพี่สาวผม คือรุ่น 1.7 VTi (AS) Exclusive Pack คำว่า Exclusive Pack นี่คือรถที่ Honda ทำขายช่วงปลายปี 2002 ซึ่งข้อแตกต่างจากรถรุ่นปกติคือ เครื่องเสียงติดรถจะเป็นแบบ 2DIN เล่น CD ได้หกแผ่น ไม่มี MP3 แล้วก็มีกุญแจรีโมตกันขโมย Honda แท้ และมีลายไม้สีน้ำตาลโคตรเข้ม..แล้วก็ให้มาจุดเดียวคือรอบคันเกียร์กับเบรกมือ..หรูแบบขี้เหนียวนิดๆ ส่วนเบาะหนังกับสปอยเลอร์หลัง คือสิ่งที่คุณพ่อท่านขอเพิ่มจากศูนย์ Honda ปทุมธานีเอาเอง เราไม่ได้ซื้อตัวท็อป (ASL) เพราะถ้าขอเบาะหนังฟรีๆ ได้แล้ว ส่วนต่างก็ระหว่าง (AS) กับ (ASL) ก็เหลือแค่เหล็กกันโคลงหลังครับ
ในการขับใช้งาน 10 ปีที่อยู่กับพี่สาวผม พูดได้ว่า Civic เป็นรถที่ไม่จุกจิกกวนใจ ไม่เคยตายกลางทาง โช้คอัพเดิมใช้ยาวๆ ไม่มีรั่วซึม สิ่งที่เสียต้องเปลี่ยนในระหว่าง 10 ปีนี้ คือคอมเพรสเซอร์แอร์ และปั๊มเพาเวอร์ มันเป็นรถที่ขับใช้งานง่าย สั่งให้เร่งก็ไปได้คล่องตัว ที่ชอบมากคือทัศนวิสัยด้านหน้า ดีกว่า Civic พวกรุ่นใหม่ๆ ที่ตามมา เพราะเสาหลังคาไม่บดบังมุมมองเวลาเลี้ยวเข้าซอยมากเท่า อย่างไรก็ตาม ข้อเสียประจำตัวของรถรุ่นนี้ที่ต้องบอกก่อนก็มี คือ พวงมาลัยมันหนักครับ ถ้าคุณเทียบกับรถกระบะมันก็เบาแหละ…แต่หนักต้านมือกว่า Altis และ Lancer Cedia ชัดเจน ผมชอบนะเพราะต้านมือดี หักเลี้ยวแล้วรู้สึกมั่นมือ แต่พวกผู้หญิงหลายคนบอกว่ามันหนัก..ผมก็ไม่เข้าใจ จำได้ว่า 20 ปีก่อน ผู้หญิงที่ผมแอบชอบ ขับ Civic 1.7 สีแดงทับทิม หน้าตาขาวหมวย หุ่นดี ขับแข่งจิมคาน่าหมุนพวงมาลัยจนแมวเวียนหัว ไม่เห็นน้องเจิน (ถ้าจำไม่ผิดนั่นคือชื่อเขา) บ่นสักคำ
วิธีแก้ คือไปแปลงเอาชุดแร็คพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าของ Civic ญี่ปุ่นใส่ครับ ทำได้เพราะเพื่อนผมทำมาแล้ว มันบ่นว่ารถขับไม่สนุกเวลาซัดตึง เวลาขับมอเตอร์เวย์ต้องมีคัดซ้ายคัดขวา ซึ่งเป็นนิสัยเพาเวอร์ไฟฟ้ายุคนั้น แต่ข้อดีคือขับในเมืองเบามือขึ้นโข สมมติว่าถ้าแร็คเพาเวอร์เดิมของใครเสีย อย่าอุตริไปแปลงเป็นแร็ค Honda Integra นะครับเพราะมันจูนมาสปอร์ตกว่า ยิ่งจะหนักมือกว่าเดิม ผมรู้เพราะ Civic ES อีกคันของแม่ผม ทำแบบนั้น แต่แม่ผมชอบนะท่านบอกได้ออกกำลังกายดี
ข้อต่อมาคือ ..ไม่ทราบใครเอาบอแรกซ์ไปราดช่วงล่างหลังของ Civic รุ่นนี้เหมือนกัน เพราะมันดีดเด้ง เด้งเป็นลูกชิ้นปลานายใบ้ เวลาผ่านลูกระนาด ถ้าไม่เบาเท้าเบามือหน่อย คนนั่งหลังหัวโขกเพดานเอาง่ายๆ เช่นเดียวกับเวลาจัมป์สะพานมอเตอร์เวย์ เป็นสิ่งที่น่ารำคาญมากสุดๆ แต่แลกกับเสถียรภาพทางตรงที่ขับทางไกลๆ 150-160 ยังไม่เสียวก้นนัก ดีกว่า Altis เดิมๆ มาก อาการนี้แค่จับใส่โช้คหลังเกรดดีกว่าเดิมหน่อย หรือบางคนก็แค่ไปอัดน้ำมันโช้คใหม่ตามสูตรของร้านที่ทำ Civic Dimension เยอะๆ สมัยนั้น อาการจะดีขึ้น แน่นขึ้น ส่วนเรื่องการเก็บเสียง เป็นในสไตล์ Honda ราคาหลักแสนยุคนั้น ทุกเสียงรบกวนในโลก คือเพื่อนของเรา ดังหมดทุกส่วนไม่ว่าจะขอบประตูหรือพื้นรถ รุ่นปีหลังๆ 2003-2005 จึงเพิ่มกระดูกงูขอบประตู ปรับเรื่องการเก็บเสียง และปรับช่วงล่างให้นุ่มเอาใจคนใช้งานปกติมากขึ้น
จุดอ่อนต่อมา บางคนไม่ได้ใช้ แต่ต้องบอก ก็คือเบาะหลังของ Civic รุ่นนี้จะพับไม่ได้ มันติดตายเลย ดังนั้นถ้าใครรู้ตัวว่าขนของชิ้นยาวใหญ่บ่อยๆ แนะนำว่าไปหา Honda Jazz หรือ City รุ่นแถวๆ ปี 2003-2005 ใช้ดีกว่า
สำหรับเรื่องการใช้งาน ส่วนที่ได้ยินว่ามักพังบ่อยคือเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งในช่วง 5 ปีแรกหลังการขาย บางคนใช้แค่ 80,000 กิโลเมตรก็พัง บางคนพังที่ 150,000 กิโลเมตร แต่ผมเคยเจอรถบริษัทของพ่อเพื่อน (เซลส์ยา) วิ่งมา 300,000 กิโลเมตรด้วยเกียร์เดิม ก็ไม่พัง รวมถึงรถพี่สาวผมเองไปหาเจ้าของใหม่แล้ว กิโลข้ามสองแสนไปแล้วก็ไม่พัง ถึงพังก็ไม่ใช่เกียร์ที่ซ่อมยากอะไร สำหรับคนที่ไม่ได้วิ่งแบบปีละ 50,000 กิโลเมตร ผมว่าไม่มีอะไรต้องห่วง แค่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ทุก 30,000 กิโลเมตรถ้าคุณใช้ในที่รถติดและน้ำท่วมประจำ หรือ 40,000 ถ้าวิ่งทางไกลตลอด รถไม่ติด ไม่ค่อยเจอน้ำท่วม
ช่วงล่างไม่ค่อยพบว่าพังง่ายพังดายนัก ลูกหมากต่างๆ ทนทานกว่า Nissan Tiida ของผมเองเสียอีก จุดซ่อมบำรุงก็น้อยกว่าสมัยเป็น Civic ตาโต แต่สำหรับสายซิ่ง ผมบอกเลยว่าช่วงล่างของรถรุ่นนี้ ข้อจำกัดเยอะ ปรับมุมล้อบางจุดไม่ค่อยได้ดังใจ ยิ่งถ้าคิดจะโมดิฟายให้เครื่องกำลังสูงระดับ 250 ม้าขึ้นไป ช่วงล่างรุ่นนี้สู้รุ่นก่อนไม่ได้ครับ ถ้าใครจะซื้อรุ่นนี้ไปแข่งสนาม แนะนำว่าคิดใหม่ ส่วนคนที่ใช้เดิมๆ หรือแต่งโหลดนิดหน่อยพอเก๋ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร นอกจากเบ้าโช้คชอบดัง ซึ่งบ้านผม ใช้รุ่นนี้สองคัน เจอสองคัน ถอดเช็ก อัดจารบีเข้าหน่อยก็เงียบไปนานอยู่
ในเรื่องอะไหล่ ก็ตามประสา Honda คือ Honda ไทยมักจะพยายามเก็บอะไหล่รถรุ่นเก่าๆ ไว้มากไม่แพ้ Toyota บางครั้งการหาอะไหล่บางชิ้น โทรถามศูนย์บริการเช็กราคาของก่อนครับ บางชิ้นถูกกว่าร้านข้างนอกนะ แล้วถ้าศูนย์แพง ก็ค่อยไปหาอะไหล่อู่ หรืออะไหล่มือสอง ซึ่ง Honda รุ่นนี้ ถ้าคุณเรียกหาอะไหล่แบบทั่วๆ ไป มันถูกมากครับ แต่ถ้าไปหาอะไหล่จากรุ่นที่วัยรุ่นนิยม หรือเป็นชิ้นที่วัยรุ่นแต่งรถตามหากันเยอะ ราคาก็จะสูงบรรลัย เช่นชุดทำรอบคันเป็นรุ่น FERIO RS Style Edition สเปกญี่ปุ่นเอาแบบเป๊ะทุกชิ้นยกสลับใส่ อาจจะถูกในสายตาคนมีเงิน แต่แพงในความคิดผมครับ
Civic ES ไม่ใช่รถสมบูรณ์แบบ มันออกจะธรรมดาเสียด้วยซ้ำ แต่กับรถโฉมแรกๆ 2000-2002 นี่คือ คุณได้รถคลาส Altis ในรุ่นปีนั้น ในราคาที่แพงกว่า Corolla Hi-torq โฉมเก่าปี 1999 ไม่มาก ได้แบรนด์ Honda และได้รถที่เวลาเรียกหาอะไหล่กับอู่ซ่อม แม้จะไม่เต็มเมืองแบบ Toyota แต่ก็คล่องกว่า Mitsubishi หรือ Nissan แม้จะอายุ 20-23 ปีแล้ว แต่ถ้าคุณจับรถมาในงบ 7-8 หมื่น เหลือเงินไปปรับสภาพรถสัก 40,000 บาท โดยตรงนี้คุณอาจจะค่อยๆ ทยอยทำไปตามกำลังเงินที่คุณหาได้ ดูเรื่องเบรก เรื่องระบบระบายความร้อนเครื่อง ช่วงล่าง เป็นหลัก เพราะตัวเครื่องจริงๆ ไม่ค่อยมีอะไรพัง จากนั้นอยากจะแต่งสวยหรือทำอะไรต่อ ค่อยว่ากันตามเงินที่มี Civic รุ่นนี้ถือว่าเป็นรถที่เหมาะมากสำหรับคนที่มองหารถหลักหมื่นใช้คุ้มค่าตัว หรือนำมาใช้เป็นรถคันแรกของบางคนที่เพิ่งได้ใบขับขี่ เพราะขับง่าย ใช้งานง่าย ซ่อมไม่ยาก เอาไว้ขับรถเก่งขึ้น ค่อยทุ่มเงินไปซื้อรถป้ายแดงครับผม.
Pan Paitoonpong