หุ้นโรงพยาบาล กำไร Q3 พุ่งยกแผง โบรกฯชี้ไฮซีซั่นตามเทรนด์โรคระบาดฤดูฝน ทั้ง “ไข้หวัดใหญ่-ไข้เลือดออก-ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ” ขณะที่ผู้ป่วยต่างชาติโดยเฉพาะชาวตะวันออกกลางเข้ารักษาต่อเนื่อง พักนานเฉลี่ยยาวถึง 20 วัน ค่ารักษาเฉลี่ยต่อบิลสูง “บล.บัวหลวง” ชี้สงครามตะวันออกกลางยังไม่ส่งผลกระทบ
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า คาดการณ์กำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/2566 ของธุรกิจโรงพยาบาลที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย จะเติบโตเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) และไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) เป็นไปตามไฮซีซั่นที่เป็นฤดูฝน ประกอบกับรายได้ผู้ป่วยไทยยังเติบโตดีกว่าปกติ จากการเข้ารับการรักษาโรคที่มากับฤดูฝนมากขึ้นจากปีที่แล้วมากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้เลือดออก และโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของสัดส่วนรายได้กลุ่มผู้ป่วยคนไทย
ขณะที่สัดส่วนรายได้ของผู้ป่วยต่างชาติถือว่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งล้อไปตามนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวตะวันออกกลางที่กลับมารักษาตัวค่อนข้างมาก อาทิ กาตาร์, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, โอมาน, ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งไตรมาส 3 จะเป็นช่วงวันหยุดยาวภาคฤดูร้อนที่นิยมเดินทางมารักษาพร้อมกับพาครอบครัวมาพักผ่อน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่มารักษาโรคเฉพาะทางที่มีความรุนแรงของโรคสูง ใช้ระยะเวลาเข้าพักการรักษาเฉลี่ยยาวนานถึง 20 วัน ทำให้มีค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยต่อบิลที่สูงมาก
ยังมีผู้ป่วยชาวจีนที่มี pend-up demand จำนวนมาก โดยชาวจีนส่วนใหญ่เดินทางมาท่องเที่ยวพร้อมกับการตรวจสุขภาพ และชาวรัสเซีย รวมไปถึงอีก 12 ประเทศในแถบรัสเซีย-ยูเครน ที่เบื่อสงครามเข้ามาพักแบบ long stay ที่ภูเก็ต และจังหวัดอื่นค่อนข้างมาก จึงมาใช้บริการโรงพยาบาลมากขึ้น
โดยทิศทางรายได้ของ บมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. 2566 เติบโต 20% ดีเกินคาด ขณะที่รายได้ของ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) เติบโตดีเช่นกัน เพียงแต่ปีที่แล้วฐานสูงจากผู้ป่วยโควิด จึงประเมินกำไรสุทธิ BH งวดไตรมาส 3 ปีนี้จะอยู่ที่ 2,084 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.8% YOY และเพิ่มขึ้น 19.2% QOQ ส่วน BDMS อยู่ที่ 3,673 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.4% YOY และเพิ่มขึ้น 18.7% QOQ
ส่วนทิศทางของ บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) น่าจะเติบโต QOQ และเทิร์นอะราวนด์ YOY ด้วยฐานต่ำจากปีที่แล้วขาดทุนจากวัคซีนโควิดลอตสอง เหมือนกับ บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) ที่น่าจะเติบโต YOY ได้ แม้ว่าจะมีโรงพยาบาลเปิดใหม่ซึ่งอาจจะมีขาดทุนบ้าง แต่คนไข้ที่มากับฤดูฝนค่อนข้างมาก ซึ่งจะได้ทั้งคนไข้ที่จ่ายเงินสดและใช้ประกันสังคม
“โรงพยาบาลรับผู้ป่วยประกันสังคมและรับผู้ป่วยคนไทยอย่างเดียว คาดว่าน่าจะค่อย ๆ เห็นกำไรเทิร์นอะราวนด์ YOY ตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป ทั้ง BCH และ CHG”
อย่างไรก็ตาม จากฐานรายได้ผู้ป่วยต่างชาติที่ค่อนข้างสูงในปีนี้ อาจจะต้องระวังปัจจัยเสี่ยงต่อธุรกิจโรงพยาบาลในปีหน้า และยังไม่รู้ว่า pend-up demand ของผู้ป่วยชาวจีนแม้ยังมีอยู่ แต่คนจีนยังไม่กลับมาด้วยภาพเศรษฐกิจที่ยังซบเซา จึงอาจทำให้กลุ่มโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติที่มากจะยังเติบโตได้ช้ากว่าปกติ ประกอบกับโรงพยาบาลหลายแห่งมีการเปิดโรงพยาบาลใหม่ ๆ ซึ่งจะยังขาดทุนอยู่ จึงจะเป็นตัว suffer ทำให้โรงพยาบาลเติบโตได้น้อย หรืออาจไม่สูงเท่ากับปีนี้
นายภูวดล ภูสอดเงิน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า กำไรหุ้นโรงพยาบาลในไตรมาส 3 จะเติบโตทั้ง YOY และ QOQ โดยรายได้ของ BH เติบโต YOY แต่ QOQ คงต้องลุ้นกันเพราะว่าฐานสูง ขณะที่ BDMS น่าจะเติบโตทั้ง YOY และ QOQ โดยทั้งสองโรงพยาบาลนี้จะมีสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติมาก แต่ไตรมาส 3 ก็จะได้ผู้ป่วยไทยเข้ามารักษามากขึ้นด้วยตามฤดูฝน
สำหรับสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง มองว่าถ้าจะกระทบลูกค้าผู้ป่วยที่จะบินมารักษาที่โรงพยาบาลในประเทศไทยนั้น จะต้องเป็นลักษณะลุกลามขยายวงไปในประเทศอื่น ๆ เพราะส่วนใหญ่ชาวตะวันออกกลางที่บินมารักษาโดยเฉพาะ BH ที่จะมีสัดส่วนมากที่สุด เป็นประเทศที่อาจจะยังไม่มีผลกระทบเรื่องสงคราม อย่างเช่น กาตาร์, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น
“ในช่วงที่ผ่านมามี pend-up demand หรือการรักษาที่อั้นไว้อยู่ จึงเข้ามาในช่วงครึ่งปีหรือ 9 เดือนที่ผ่านมาค่อนข้างเยอะ ทำให้ไตรมาส 3 จะเป็นช่วงพีกของผู้ป่วยต่างชาติ และไตรมาส 4/2566 น่าจะอ่อนตัวลงตามฤดูกาล”
นางสาวพัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบริหารงานลูกค้า บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต กล่าวว่า จากสถิติของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ในปี 2566 ชี้ให้เห็นว่าจำนวนผู้เป็นโรคติดต่อประจำฤดูกาลพุ่งสูงขึ้นมาก โดยไตรมาส 3/2566 พบผู้เป็นโรคไข้เลือดออกเดงกี จำนวน 58,576 เคส โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ จำนวน 80,592 เคส และโรคไข้หวัดใหญ่ จำนวน 206,802 เคส
“สะท้อนถึงการติดต่อที่ง่ายขึ้นและเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่มีความรุนแรงมากขึ้น การเจ็บป่วยเหล่านี้สร้างความสูญเสียให้กับผู้ป่วยทั้งเสียเวลาในการรักษาและเสียค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนมาก และเพื่อเป็นการเตือนคนไทยในเรื่องดังกล่าว อลิอันซ์ อยุธยาฯ จึงเปิดตัวแคมเปญ #กันก่อน ดีที่สุด รณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงภัยจากเชื้อโรคร้ายรอบตัว และสนใจดูแลตนเองอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันการมีประกันสุขภาพก็เป็นทางเลือกเพื่อคุ้มครองและลดภาระค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดเจ็บป่วยขึ้น”