ยารักษา “โรคหัวใจ” ไม่มีอาการแล้วหยุดยาเองได้ไหม?


ดูแลกาย

โรคหัวใจ หลายคนมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวแต่ที่จริงแล้วทุกคนมีโอกาสที่จะป่วย และหากป่วยแล้วการรักษาด้วยการกินยานับเป็นทางออกที่ง่ายและควบคุมอาการได้ไม่ให้กำเริบ รู้จักชนิดของยารักษาโรคหัวใจ 12 ชนิดและหาคำตอบที่ว่าไม่มีอาการหยุดกินยาเองได้หรือไม่?

.ads-billboard-wrapper{display:flex;min-height:250px;align-items:center;justify-content:center}

“โรคหัวใจ” ครอบคลุมโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจทั้งหมดแต่ที่พบบ่อยที่สุด คือโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจล้มเหลว และโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ที่ต้องรักษาโดยการใช้ยาเพื่อรักษาบรรเทาอาการ วันนี้เรารวบรวมยาทุกชนิดที่ใช่รักษาหมวดโรคหัวใจ โดยแบ่งเป็น 6 กลุ่ม 12 ชนิด ประกอบด้วย

  • ยาต้านเกล็ดเลือด ยาชนิดแรกที่แพทย์สั่งยาให้ผู้ป่วยมากสุดคือ ยา Aspirin เป็นยายับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือดบริเวณที่หลอดเลือดขรุขระ หรือมีรอยตีบ 

7 สัญญาณเตือนเสี่ยง “โรคหัวใจ” อันตรายใกล้ตัวเฉียบพลันถึงชีวิต

4 วัยทันโรคหัวใจ ป้องกัน“ภาวะหัวใจล้มเหลว”ได้ตั้งแต่ในท้อง!

มีข้อบ่งชี้ให้ในผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ ทั้งในรายที่เป็นเฉียบพลันและเรื้อรัง และทำบอลลูนขยายหลอดเลือดรวมทั้งการใส่ขดลวดค้ำยันจะต้องกินยา Aspirin ร่วมกับยาต้านเกล็ดเลือดอีกหนึ่งตัว Clopidogrel ในส่วนของยากลุ่มนี้ผู้ป่วยบางรายที่มีภาวะต้านยา Clopidogrel ได้ จะใช้ ticagrelor หรือ Prasugrel แทน

ระยะในการกินยาต้านเกล็ดเลือด ตามที่แพทย์สั่ง 1 เดือน, 6 เดือน หรือ 1 ปี แล้วแต่ชนิดขดลวดที่อย่างไรก็ตามยาทั้ง 2 ชนิดนี้มีผลทำให้เกิดเลือดออกในกระเพาะอาหารทั้งคู่ จึงควรกินหลังอาหารทันที

  • กลุ่มยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูง 
    • ยาขับปัสสาวะ จะทำให้ปัสสาวะออกมาก เพื่อต้องการขับน้ำและเกลือ เมื่อรับประทานยาตัวนี้อาจจะต้องตรวจระดับเกลือแร่ เพราะอาจจะมีภาวะเกลือแร่ต่ำได้
    • ยาขยายเส้นเลือด ชนิดยาต้านแคลเซียม  จะขยายหลอดเลือดแดง ทำให้ความดันโลหิตลดลง ผลข้างเคียงของยา อาจจะมีอาการบวมตรงหลังเท้า เวลาที่ยืนหรือนั่งนานๆ
    • ยาขยายเส้นเลือดชนิด ยาต้านแองจิโอเทนซิน คอนเวอร์ตติง เอนไซม์ (ACEI) และยาต้านแองจิโอเทนซินรีเซ็ปเตอร์ (ARB)  เป็นยาที่สามารถชะลอความเสื่อมของหลอดเลือด ป้องกันหลอดเลือดแข็งและตีบได้ ใช้เพื่อลดความดันโลหิต ขยายทั้งเส้นเลือดดำและเส้นเลือดแดง ออกฤทธิ์คล้ายกัน แต่ ACEI จะทำให้เกิดอาการไอ บางครั้งผู้ป่วยทนไม่ไหว ไอมากก็ต้องเปลี่ยนมาเป็น ARB
    • ยาต้านเบต้า (Beta-Blocker)  ออกฤทธิ์ทำให้หัวใจเต้นช้า ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดความดันโลหิตได้แต่ไม่ดีนัก มักจะถูกนำมาใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นเร็ว หรือมีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เพื่อให้หัวใจเต้นช้าลงมีการใช้เลือดน้อยลง ทำให้ไม่เจ็บหน้าอก
  • ยากลุ่ม Nitrate เป็นยาขยายเส้นเลือดหัวใจ มีหลายรูปแบบ มีแบบอมใต้ลิ้น ใช้ในกรณีที่มีอาการเฉียบพลัน แบบสเปรย์ และแบบรับประทานก่อนอาหาร ยาดังกล่าวมีผลข้างเคียง ทำให้ปวดศีรษะ และความดันโลหิตต่ำได้ ดังนั้น เมื่อใช้ยากลุ่มนี้ โดยเฉพาะแบบอมใต้ลิ้น ควรจะนั่งพักประมาณ 15-20 นาที ไม่ลุกขึ้นยืนทันที เพราะอาจจะทำให้วูบ และเป็นลมได้ อนึ่ง ยากลุ่มนี้ห้ามใช้ร่วมกับยาที่รักษาสมรรถภาพทางเพศเสื่อมชนิด Sildenafil เนื่องจากจะเสริมฤทธิ์ ทำให้ความดันโลหิตต่ำ ทำให้เกิดภาวะช็อค หมดสติ และเสียชีวิตได้
  • ยาลด หรือควบคุมระดับไขมันในเลือด  ที่ใช้กันแพร่หลาย ได้แก่
    • Statin  เป็นยาที่มีมาประมาณ 30 ปี ใช้ในการลดระดับ Cholesterol ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญอย่างหนึ่งที่ ทำให้เกิดหลอดเลือดแดงตีบ โดยตัวยาจะควบคุมระดับไขมัน ทำให้ไขมันลดลง โดยเฉพาะ LDL Cholesterol รวมทั้งลดการอักเสบของหลอดเลือด ในบริเวณที่ไขมันไปเกาะที่ผนังหลอดเลือด ส่งผลให้ไขมันเกาะแน่นขึ้น ไม่ร่อนหลุด ถ้ามีการร่อนหลุดของตะกรัน คราบไขมัน หรือพังผืด ทำให้เกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน และเสียชีวิตได้
    • ยากลุ่ม fibrate  เป็นยาลดระดับไขมันชนิด triglyceride ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงอันหนึ่งของภาวะ

หลอดเลือดตีบ ในกรณีที่ใช้คู่กับ Statin ต้องตรวจเลือดดูการทำงานของตับเป็นครั้งคราว ตามแพทย์แนะนำ

  • ยารักษาหัวใจเต้นผิดจังหวะ 
    • ยาดิจิทาลิส  เป็นยาเก่าแก่ ใช้มานานสำหรับผู้ป่วยที่หัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดสั่นพลิ้ว (atrial fibrillation AF) เพื่อควบคุมให้หัวใจเต้นไม่เร็ว ยาดังกล่าวอาจเกิดพิษจากยาได้ ถ้าให้ขนาดสูง โดยเฉพาะผู้สูงวัย หรือผู้ป่วยที่มีโรคไต ดังนั้นควรใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์เท่านั้น
    • ยาควบคุมระดับการเต้นของหัวใจชนิดอื่นๆ  จะพิจารณาให้ยาแล้วแต่ชนิดของโรคที่เป็น เช่น ยาต้านเบต้า(Beta-Blocker)  ยา Amiodarone และยา Verapamil เป็นต้น
  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดสั่นพลิ้ว (atrial fibrillation (AF)) หรือผู้ป่วยที่ผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจชนิดโลหะ ผู้ป่วยที่มีภาวะลิ่มเลือดในห้องหัวใจ เป็นยาป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดใหม่ที่จะหลุดไปอุดหลอดเลือดที่สมองทำให้เกิดอัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้ ที่ใช้ในการรักษา มี 2 ชนิด ได้แก่
    • Warfarin  เป็นยาดั้งเดิม ป้องกันการแข็งตัวของเลือด ถ้าได้ยากลุ่มนี้ จะต้องมาตรวจเลือดดูระดับของยา ทุก 1-3 เดือน เนื่องจากระดับยาน้อยไม่ได้ผล ถ้าระดับมากทำให้เกิดภาวะเลือดออก
    • ยากลุ่ม NOAC (New Oral Anticoagulant Drugs)  เป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดใหม่ ซึ่งมีข้อดี คือ การให้ยาไม่ต้องปรับขนาดยามากนัก กำลังเป็นที่นิยมใช้ แต่มีราคาค่อนข้างสูง ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ ที่มีใช้ในไทยได้แก่ ยา dabigatran, rivaroxaban, apixaban และ edoxaban  ซึ่งยากลุ่มนี้อาจจะทำให้เกิดภาวะเลือดออกได้เช่นกัน ต้องใช้อย่างระมัดระวัง แต่พบภาวะเลือดออกน้อยกว่ายา Warfarin

หน้ามืด-ใจสั่นบ่อย สัญญาณ “โรคหัวใจ” ที่คนอายุน้อยเป็นมากขึ้น!

ไม่มีอาการแล้วหยุดยาได้หรือไม่ ?

“ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ”แต่หากเกิดเจ็บป่วยขึ้นแล้ว อยากให้ลองคิดเสียว่า “ป่วยเป็นโรคที่มียารักษา” ถือเป็นลาภอย่างหนึ่งเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ความโชคดีของคนไข้โรคหัวใจ คือ มียาและนวัตกรรมทางเลือกมากเป็นอันดับต้นๆ ของโรคทั้งหลายที่วงการแพทย์คิดค้นวิธีรักษาได้ จากการวิจัยและพัฒนายาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราทราบข้อมูล ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ข้อควรระวังต่างๆ จนสามารถเลือกชนิดยาที่เหมาะกับคนไข้แต่ละราย หลีกเลี่ยงผลข้างเคียงให้เกิดน้อยที่สุดได้

สำหรับโรคหัวใจการหยุดยาเองช่วงแรก ส่วนใหญ่จะยังไม่แสดงอาการชัดเจน โดยเฉพาะถ้าโรคอยู่ในขั้นรุนแรงไม่มาก แต่ถ้าปล่อยไว้นานๆ ไม่รักษาอย่างถูกวิธีจะเกิดอาการแทรกซ้อนอันตราย ทำให้วิธีการรักษายุ่งยากตามไปด้วย ถ้าเกิดความผิดปกติหลังกินยาหรืออยากจะลองหยุดยาดู ขอให้เปิดใจคุยกับคุณหมอที่ดูแลก่อน หลังจากปรึกษาแล้ว อาจจะมีทางเลือกดีๆ ที่เหมาะกับเรานะคะ เมื่อคนไข้และญาติมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและการรักษาดีขึ้น คลายความกังวล ก็จะทำให้ผลการรักษาดีไปด้วย

สุดท้ายนี้ อยากให้มองว่ายาโรคหัวใจเป็นเหมือนยาอายุวัฒนะ เพราะทำให้มีชีวิตยืนยาว ได้อยู่กับคนที่เรารักนานขึ้น ช่วยให้ทำกิจกรรมต่างๆ ที่อยากทำได้ ที่สำคัญต้องกินยาอย่างสม่ำเสมอ และคอยสังเกตผลข้างเคียงของยา บอกให้แพทย์ที่ตรวจรักษาทราบ โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท และ มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยฯ

ภาพจาก : Shutterstock 

“ความดันโลหิตสูง” ปล่อยไว้นานเสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจหนาอันตรายถึงชีวิต

วิจัยเผย“ความเครียด”ก่อโรคหัวใจสูง 70 % เสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง

AVC-Woman2023-1B AVC-Woman2023-1B
วิดีโอยอดนิยม
เรื่องที่คุณอาจพลาด

ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ

PPSHOP


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *