“หมอประสิทธิ์” หนุนยกระดับ “30 บาท รักษาทุกโรค” ชี้สำคัญที่ “เงิน” ห่วง! อัตรากำลัง


vote_prime_post

“หมอประสิทธิ์” หนุนยกระดับ “30 บาท รักษาทุกโรค” ชี้สำคัญที่ “เงิน” ห่วง! อัตรากำลัง

วันนี้ (11 กันยายน 2566) ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา ที่ปรึกษาคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ถึงการแถลงนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ ที่มีพรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นแกนนำ ในประเด็นยกระดับ 30 บาท รักษาทุกโรค หรือ ปัจจุบันในชื่อ “บัตรทอง” โดยมี นพ.ชลน่าน ศรีแก้วรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ขับเคลื่อนนโยบาย ว่า โมเดลหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UC) มีหลายประเทศนำไปใช้ ไม่เฉพาะประเทศไทย เช่น ญี่ปุ่น เป็นต้น

“ที่ผ่านมา ถามว่าเราใช้ระบบนี้แล้ว ประชาชนได้ประโยชน์หรือไม่ คำตอบคือ ได้ แต่ต้องขออธิบายก่อนว่า จะมีเรื่องของ Iron Triangle หรือ สามเหลี่ยมเหล็กของระบบบริการสุขภาพ ที่จะมียอด 3 ด้าน คือ ด้านการเข้าถึง ด้านค่าใช้จ่าย และด้านคุณภาพ ซึ่งต้องอยู่ในสมดุลสามเหลี่ยมเหล็กนี้ คีย์เวิร์ดของระบบหลักประกันสุขภาพฯ คือ การทำให้ประชาชนเข้าถึงได้มาก ด้วยคุณภาพที่เป็นที่ยอมรับ และค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม หากมาตีความหมายคำว่า คุณภาพ เป็นที่ยอมรับ คือแค่ไหน ก็จะเห็นว่า ความหมายกว้างมาก บางคนบอกแค่นี้ไม่พอ บางคนบอกพอ ก็ต้องมีหลักการว่า ถ้าเราใช้คุณภาพแบบนี้ อัตราการเสียชีวิตเราควบคุมได้ และค่าใช้จ่ายเราสามารถกระจายไปให้คนจำนวมาก ถ้าเฉพาะบางอย่างที่คุณภาพสูงมาก ค่าใช้จ่ายมากจริง แต่สุดท้ายไม่เหลือเงินที่จะสามารถไปใช้กับคนจำนวนมาก ก็จะไปเสียที่สามเหลี่ยมตัวหนึ่ง” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า การจะยกระดับหลักประกันสุขภาพฯ สิ่งสำคัญคือ “เงิน” ต้องมาด้วย ซึ่งขณะนี้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศไทยต่ำกว่าที่ควรเป็น เมื่อเทียบกับเปอร์เซ็นต์ของจีดีพี

“ประเทศทั่วไป แนะนำว่าอย่างน้อยต้องประมาณ ร้อยละ 6 ของจีดีพี ของเราอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4 แปลว่าเงินที่ลงมาในระบบนี้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้น การยกระดับคือ สิทธิประโยชน์เกิดขึ้นกับคนไทย มีของ มีผลเกิดขึ้น แต่ไม่ใส่เงินเข้ามาระบบนั้น เป็นไปไม่ได้ ขณะเดียวกัน ต้องกำจัด Waste คือ สิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ หรือทำให้เกิดความสูญเสียบางอย่างที่เกิดขึ้นในระบบ ในแง่วิชาการและทฤษฎี ระบบการเบิกจ่าย (Reimbursement) มีบางอย่างที่ลูกศรไปผิดด้าน ต้องแก้ไขสิ่งเหล่านี้ต้องคุยกันอีกพักหนึ่ง ผมเห็นด้วยกับหลักการว่า จะต้องยกระดับบัตรทอง เพื่อให้เกิดประโยชน์เกิดขึ้น แต่ต้องลด Waste กลับมาทบทวนระบบใหม่ ต้องมีการจัดสรรงบประมาณที่ชัดเจนมากขึ้น คนไทยก็จะได้ประโยชน์” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ลูกศรเรื่องการเบิกจ่ายที่ไปผิดทางคือเรื่องอะไร ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ในบางประเทศการเบิกจ่ายจะกำหนดว่าเบิกจ่ายตามผลประโยชน์ หรือคุณค่า (Value) ที่คนไข้ได้ เช่น เข้ามาด้วยโรคนี้ ประโยชน์ของคนไข้จะเกิดแบบนี้ อะไรที่ทำให้คนไข้ได้จะต้องจ่ายหมด อะไรที่ไม่ใช่จะไม่จ่าย แต่ระบบของเราจุดเริ่มต้นอาจจะมองเงินเป็นตัวตั้ง แล้วพยายามมาตัดกรอบระบบบริการที่ให้อยู่ภายใต้งบประมาณ ซึ่งจุดเริ่มต้นจุดหนึ่งอาจต้องเริ่มแบบนี้ เพราะงบประมาณไม่มาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับมาทบทวนเรื่องงบประมาณ อาจจะต้องเอียงมาตรงนี้ คือ Value Base Healthcare คือ Output หารด้วย Input โดย Output คือ Value หรือคุณค่าที่คนไข้จะได้  ส่วน Input คือ เงินที่เราใส่เข้าไป ต้องทบทวนในส่วนนี้ ซึ่งนักวิชาการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ต้องหารือกัน ซึ่งดีมาก

Advertisment

“ตอนนี้อยู่ในกระบวนการ อย่างหน่วยวิจัยระบบสุขภาพของศิริราช ก็มาจับมือกับ สปสช. สามารถมาดึงข้อมูล สปสช. เพื่อเอาข้อมูลใหญ่ๆ เยอะๆ ไปทบทวนวิเคราะห์เชิงวิจัยย้อนกลับออกมาว่า ระบบมี Waste ตรงไหน ตรงไหนที่สามารถทำให้ Value เพิ่มมากขึ้น” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่า นโยบายยกระดับบัตรทองด้วยการใช้บัตรประชาชนใบเดียว จะทำให้ระบบสามเหลี่ยมบริการสุขภาพเสียสมดุลหรือไม่ ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า การใช้บัตรประชาชน คงไปเน้นเรื่องของการเข้าถึงได้ง่าย แต่ก็ต้องไปแก้ตรงนี้ เพราะปัจจุบัน ตราบใดที่ยังมีบัตรประชาชนเทียมสวมรอยอยู่ ก็จะกลายเป็น Waste ในระบบทันที ก็ต้องไปควบคุมส่วนตรงนั้น แต่สะดวกตรงที่ว่า คนไทยทุกคนต้องมีบัตรประชาชนอยู่แล้วติดตัว ก็สามารถใช้เป็นไอดี ถ้าระบบเชื่อมโยงกันได้ดีทั้งประเทศ คนไทยไปที่ไหนไม่เฉพาะโรงพยาบาลประจำอย่างเดียว ซึ่งขณะนี้กำลังทำเรื่องเจ็บป่วยไปรักษาปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ ขอแค่มีบัตรประชาชนเป็นไอดีว่าเป็นคนไทย ก็จะวิ่งเข้าสู่ระบบ ถามว่ามีประโยชน์ไหม เชื่อว่ามีประโยชน์

ต่อข้อถามว่า มีข้อกังวลว่านโยบายเช่นนี้จะทำให้เพิ่มภาระงานบุคลากร ซึ่งปัจจุบันบุคลากรก็ไม่เพียงพอและมีภาระงานหนักอยู่แล้ว  ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า เทคโนโลยีต้องเข้ามาช่วย สมัยก่อน 10-20 ปีที่แล้ว จะระบุตัวตนต้องไปที่เวชระเบียน เอาบัตรประชาชนไปนั่งเช็กดูแฟ้ม แต่วันนี้เสียบบัตรประชาชนสิทธิประโยชน์ขึ้นแล้ว ก็ลดจำนวนคนลง

“คิดว่าเทคโนโลยีจะมาช่วยทำให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้นภายใต้คนที่อาจเท่าเดิมหรือลดลง ส่วนงบประมาณที่จะลงทุนเรื่องเทคโนโลยีนั้น อาจจะดูมากในช่วงต้น แต่ Maintenance การซ่อมบำรุง ไม่ได้มาก อยู่ที่การออกแบบระบบให้ดี ต้องรองรับคนที่เข้ามาใช้ ไม่ใช่ว่าออกแบบมา คนใช้ 1 ล้านคนได้ 5 ล้านคน ได้ แต่พอ 10 ล้านคน เริ่มเดี้ยง” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่า นโยบายลักษณะนี้จะแก้ปัญหาใน สธ. ที่มีปัญหาบุคลากรลาออกได้หรือไม่  ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ตรงนี้จะเป็นอีกเรื่อง คือ ภาระงานมาก (Work Load) และการกระจายจัดสรรอัตรากำลังที่เหมาะสมกับภาระงานในพื้นที่ ซึ่งจะไม่ได้ผูกแค่จำนวนคนอย่างเดียว แต่รวมถึงคุณภาพชีวิตในพื้นที่ด้วย หากมีคุณภาพชีวิตที่ดี เขาก็ไม่ย้าย ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่ปัญหามิติเดียว ต้องแก้ไขหลายมิติไปพร้อมๆ กัน

เมื่อถามอีกว่า หลายพื้นที่ค่อนข้างกังวลว่านโยบายใหม่จะทำให้คนไข้แห่เข้ามาและเพิ่มภาระงาน ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ยกตัวอย่าง โรคบางโรคไม่ได้จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล บางโรคสามารถทำเทเลเมดิซีนได้ ไม่ต้องไปรับยาที่โรงพยาบาล ภาระงานก็จะลดลง แต่บริการไม่ได้ลดลง คือ เปลี่ยนรูปแบบการให้บริการสุขภาพเท่านั้นเอง ต้องวางระบบใหม่

“ผมห่วงมากเรื่องอัตรากำลัง เห็นน้องๆ ที่ลาออก ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องวิกฤตของประเทศ ต้องแก้เรื่องนี้ให้ดี และการแก้ต้องดูหลายเรื่อง ไม่ใช่แค่ค่าตอบแทนอย่างเดียว เทคโนโลยีที่เข้ามาช่วย ภาระงานหรือโหลดที่ไม่จำเป็นที่ต้องเข้ามาโหลด ควรจะแก้ไขอย่างไร อันนี้ต้องคิดหลายชั้น” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

QR Code

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่

Line Image


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *