<!–

–>

<!–

–>

<!–

–>

<!–

–>

     คอนเซ็ปต์ ‘AI ครองโลก’ ยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากวงการภาพยนตร์และเกมเสมอ โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีแมชชีนเลิร์นนิง (Machine Learning) พัฒนาแบบก้าวกระโดดจนเราเห็น AI สุดฉลาดที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้อย่าง ChatGPT, Midjourney หรือ AI อื่นๆ ที่เป็นกระแสเมื่อเร็วๆ นี้ และ ‘The Creator’ ก็เป็นภาพยนตร์ที่ทเวนตีท์เซนจูรีสตูดิโอส์  (20^th Century Studios’) เลือกปล่อยออกมาในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะ

     The Creator เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามระหว่างมนุษยชาติและกองทัพหุ่นยนต์ AI อันชาญฉลาด โจชัว (รับบทโดยจอห์น เดวิด วอชิงตัน: John David Washington) เจ้าหน้าที่พิเศษที่ยังคงโศกเศร้ากับการหายไปของภรรยา โจชัวได้รับเลือกให้ไปทำภารกิจตามล่าและฆ่า ‘เดอะ ครีเอเตอร์’ ผู้ออกแบบ AI ระดับสูง ที่กำลังอยู่ในระหว่างการผลิตอาวุธสังหารลับที่สามารถทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ โดยโจชัวต้องเดินทางผ่านเขตของศัตรูไปสู่ใจกลางพื้นที่ที่มีเพียง AI อาศัยอยู่เท่านั้น แต่พวกเขากลับพบว่า อาวุธสังหารลับที่ต้องทำลายทิ้งคือ AI ในร่างเด็กหญิงคนหนึ่ง

     จากเรื่องย่อและตัวอย่างจะเห็นว่าภาพยนตร์แอ็กชันไซไฟเรื่องนี้พร้อมจะเล่นกับประเด็นมนุษยธรรมอย่างหนักหน่วง กับการตั้งคำถามถึงความถูกต้องในการทำลาย AI ตัวหนึ่งที่มีความบริสุทธิ์และไร้เดียงสาไม่ต่างจากเด็กมนุษย์ นอกเหนือจากนี้ยังเล่นกับ ‘ปรัชญา’ ในแง่ความหมายของชีวิต ให้คนดูได้ฉุกคิดว่าแท้จริงแล้วนิยามของคำว่า ‘ชีวิต’ คืออะไร AI ที่เป็นเหมือนหุ่นยนต์ทำตามโปรแกรมนั้นสามารถเรียกว่าเป็นชีวิตหนึ่งชีวิตได้หรือไม่ พร้อมกับการหยอดข้อสังเกตว่าแท้จริงแล้วอะไรกันแน่คือสิ่งที่มนุษย์ควรหวาดกลัว

     และเมื่อพูดถึงสงครามระหว่างหุ่นยนต์กับมนุษยชาติ เชื่อว่าหลายคนย่อมนึกถึง ‘The Terminator’ ภาพยนตร์จากปี 1994 โดยเจ้าพ่อแห่งโลกภาพยนตร์ เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) แต่หลังจากดูจบคงต้องบอกว่า The Creator ให้อารมณ์เดียวกันกับเกม ‘DETROIT: Become Human’ มากกว่า

     แน่นอนว่าเมื่อเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับแอ็กชันไซไฟ CGI (Computer-Generated Imagery) จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง และสำหรับ The Creator ต้องซูฮกให้ความเนียนตาที่ผสมผสานเข้ากับนักแสดงและฉากต่างๆ ได้อย่างกลมกลืน ในระดับที่คนดูไม่รู้สึกสะดุดหรือสังเกตเห็นความต่างได้เลย

     งานภาพของ The Creator ก็ไม่น้อยหน้า เพราะทุกฉากที่ถูกถ่ายทอดออกมาล้วนสวยงามด้วยองค์ประกอบศิลป์ แฝงการสื่อความหมาย ตลอดจนการใช้โทนสีในแต่ละฉากล้วนกระตุ้นความรู้สึกของคนดูให้เป็นไปในทิศทางที่ตัวหนังต้องการ เมื่อประกอบกับสกอร์และเสียงเอฟเฟกต์ต่างๆ แล้ว นับว่า The Creator ดึงอารมณ์ร่วมของผู้ชมได้ดีเยี่ยมทีเดียว

     อีกหนึ่งความน่าประทับใจของ The Creator คือการได้เห็นวิวทิวทัศน์ของประเทศไทยปรากฏในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของฮอลลีวูด สถานที่กว่า 40 แห่งจาก 17 จังหวัดทั่วประเทศไทย ถูกใช้เป็นโลเคชันในการถ่ายทำ เมื่อประกอบกับการถ่ายทอดของแกเร็ท เอ็ดเวิร์ดส์ (Gareth Edwards) ผู้กำกับของเรื่องนี้ที่เลือกใช้ภาพแลนด์สเคป (Landscape) เป็นส่วนใหญ่ ทำให้ความสวยงามของวิวทิวทัศน์ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มตาในแบบที่ไม่เคยปรากฏในภาพยนตร์เรื่องอื่นมาก่อน

     อย่างไรก็ตามคอนเซ็ปต์ของ The Creator นั้นเป็นสิ่งที่คอหนังเคยพบเห็นมาก่อนแล้ว ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้นำเสนอประเด็นหรือแง่มุมแปลกใหม่มากนัก และสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดคือการเขียนบทที่ลดอุปสรรคหลายๆ อย่างในการทำภารกิจของแต่ละตัวละคร ทำให้ตัวละครทำภารกิจบางช่วงบางตอนผ่านไปได้โดยง่ายแบบไม่น่าเป็นไปได้ในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งรุนแรงซึ่งเป็นเซ็ตติงของเรื่อง ซึ่งหากแก้ไขจุดนี้ได้จะช่วยเพิ่มความเข้มข้นของภาพยนตร์ไปได้อีกขั้น (กระนั้นก็ไม่ได้เป็นจุดที่ทำให้เสียอรรถรสในการรับชมมากนัก)

     The Creator เลือกสะท้อนความหวาดกลัวที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของมนุษย์ พร้อมๆ กับความดำมืดอีกหลายอย่าง ซึ่งแม้สุดท้ายจะไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนแบบการเฉลยข้อสอบ แต่ก็ทำให้คนดูกลับมาย้อนทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆ ในมุมมองที่อาจจะไม่เคยนึกถึงมาก่อน และอาจทำให้ได้คำตอบที่แตกต่างออกไปจากเดิม

     ร่วมผจญภัยท่ามกลางสงครามระหว่างมนุษยชาติและกองทัพ AI ได้ในวันที่ 28 กันยายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

ภาพ: Courtesy of the Brand

#fb-post {

width: auto;

height: auto;

overflow: hidden;

}

#fb-post iframe {

display: inline;

margin: 5px 5px;

float: center-left;

width: auto;

border-radius: 2px;

}