พลังของ ‘โพรไบโอติก’ กับสุขภาพทางเดินอาหารที่หลายคนไม่รู้


วันจันทร์ ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2566, 07.15 น.

ปัจจุบันในหลายพื้นที่ของเอเชียโพรไบโอติก เป็นที่รู้จักกันในฐานะจุลินทรีย์ที่มีความสำคัญต่อสุขภาพทางเดินอาหาร ซึ่งคาดว่าตลาดโพรไบโอติกจะเติบโตขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเป็นผลมาจากความสนใจด้านการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพของผู้คนที่เพิ่มขึ้น อ้างอิงจากผลการศึกษาในปี 2564 ของ Lynch และคณะ พบว่าจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งของผู้บริโภคนิยมใช้โพรไบโอติกเพื่อบำรุงรักษาสุขภาพและเพื่ออายุที่ยืนยาว ส่วนอีก 45% เชื่อว่าโพรไบโอติกสามารถช่วยให้ระบบทางเดินอาหารมีสุขภาพที่ดี โดย Alex Teo ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนากิจการวิทยาศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ของเฮอร์บาไลฟ์ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโพรไบโอติกและประโยชน์ที่น่ารู้

โพรไบโอติกคืออะไร?

โพรไบโอติกเป็นจุลินทรีย์ “ดี” ที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง ด้วยการเข้ามาช่วยสร้างสมดุลให้ลำไส้ เนื่องจากในลำไส้คนเราประกอบไปด้วยแบคทีเรีย เชื้อราและจุลินทรีย์อื่นๆ หลายล้านชนิด ทำให้บางครั้งการกินอาหารหรือยาบางอย่างอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในลำไส้จนเกิดเป็นปัญหาตามมาได้ดังนั้น โพรไบโอติกจึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการดูแลสุขภาพเพิ่มมากขึ้น

ประโยชน์ของโพรไบโอติก

บทบาทที่สำคัญของโพรไบโอติกสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนในวันทางเดินอาหารโลก 2023 (World Digestive Health Day) เมื่อองค์การระบบทางเดินอาหารโลก (WGO) ได้เลือกพูดถึงหัวข้อ “สุขภาพทางเดินอาหารดี เริ่มต้นที่ลำไส้ดี”

แม้ว่าประโยชน์ของโพรไบโอติกที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหารจะถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง แต่ประโยชน์ต่อสุขภาพด้านอื่นๆ ของโพรไบโอติกก็ยังคงถูกค้นพบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากมาย เช่น 

1.ระบบภูมิคุ้มกัน : จากการสำรวจลำดับความสำคัญด้านสุขภาพในเอเชีย-แปซิฟิก (APAC Health Priority) ประจำปี 2023 ของเฮอร์บาไลฟ์ ระบุว่า หนึ่งในเป้าหมายด้านสุขภาพยอดนิยมของผู้บริโภคคือการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าระบบย่อยอาหารมีส่วนสำคัญอย่างมากในการสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันถึง 70-80% นอกจากจุลินทรีย์ที่อยู่ในทางเดินอาหารจะช่วยในการย่อยอาหารแล้ว ยังต่อสู้กับแบคทีเรียที่เป็นอันตรายและควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน เพราะหากลำไส้ไม่สมดุลและระดับแบคทีเรียไม่ดีเพิ่มขึ้น อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ซึ่งโพรไบโอติกสามารถช่วยคืนความสมดุลและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้

2.สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด : โพรไบโอติกมีประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือด จากการศึกษาล่าสุดชี้ให้เห็นว่าสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจ (CVD) อาจเกิดจากความไม่สมดุลในลำไส้ ซึ่งโพรไบโอติก สามารถลดไขมันเลว (LDL-C) และเพิ่มสัดส่วนของไขมันดี (HDL-C) รวมทั้งช่วยลดความดันโลหิต ลดสารชักนำการอักเสบ (Inflammatory mediator) ระดับน้ำตาลในเลือดและดัชนีมวลกาย 

3.สภาพอารมณ์โดยรวม : ลำไส้ของคนเรามักถูกเรียกว่าเป็นสมองที่สอง เพราะสมองและระบบทางเดินอาหารมีความเชื่อมโยงกัน เช่น เมื่อเกิดความเครียดหรือความวิตกกังวลขึ้น ท้องไส้จะรู้สึกปั่นป่วน โดยผลการวิจัยล่าสุดพบว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่แบคทีเรียในลำไส้จะส่งผลต่ออารมณ์ ความรู้สึกและพฤติกรรมของเรา

4.การป้องกันโรค : โพรไบโอติกมีผลในการรักษาสภาวะหลายอย่าง เช่น อาการจุกเสียดในทารก การป้องกันโรคลำไส้อักเสบแบบเนื้อตายและภาวะติดเชื้อในทารกที่คลอดก่อนกำหนดการรักษาโรคปริทันต์ และบรรเทาอาการของโรคลำไส้ใหญ่บวมเป็นแผล อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมอีก เนื่องจากประสิทธิภาพของโพรไบโอติกอาจมีความจำเพาะต่อโรคได้

5.การป้องกันมะเร็ง : โพรไบโอติกมีบทบาทสำคัญในการป้องกันและรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (CRC) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากโพรไบโอติกมีส่วนช่วยให้จุลินทรีย์ในลำไส้สามารถฟื้นฟูกลับมาสู่สภาวะสมดุลได้ รวมทั้งยังสามารถตรวจจับและลดปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งและปัจจัยที่เป็นภัยคุกคามต่อระบบภูมิคุ้มกัน

วิธีสร้างการเจริญเติบโตให้แบคทีเรียชนิดดี

1.กินให้เหมาะ : สุขภาพของลำไส้นั้นขึ้นอยู่กับความสมดุลของจุลินทรีย์ต่างๆ ดังนั้น การกินอาหารที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ผลไม้ ผักและธัญพืชที่มีเส้นใยสูง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ 

2.อาหารหมักดอง :อาหารเอเชียส่วนใหญ่มักมีอาหารหมักดองที่เต็มไปด้วยแบคทีเรียที่เป็นมิตรกับลำไส้ เช่น ผักกาดดอง กิมจิมิโซะ โยเกิร์ตและคอมบูชา ซึ่งการกินอาหารหมักดองเหล่านี้ จะช่วยส่งเสริมให้มีแบคทีเรียดีในลำไส้เพิ่มขึ้น 

3.ออกกำลังกายเป็นประจำ : การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ช่วยป้องกันปัญหาทางเดินอาหาร และเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อในระบบย่อยอาหารเคลื่อนไหวได้ดี ส่งผลให้อาหารซึมผ่านได้เร็วขึ้น

อย่างไรก็ตาม อาหารสมัยใหม่ไม่ได้มีโพรไบโอติกสูงตามธรรมชาติดังนั้น เพื่อเป็นการชดเชย มนุษย์จึงคิดค้นวิธีใหม่ๆ ในการเพิ่มโพรไบโอติกเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารให้มากขึ้นทำให้อาหารที่มีโพรไบโอติกและอาหารเสริมโพรไบโอติกเป็นที่นิยมมาแรง อย่างไรก็ตาม ควรกินอาหารเสริมในปริมาณที่พอดีตามที่ระบุฉลากบนผลิตภัณฑ์ และหากมีปัญหาสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือแพทย์ก่อนตัดสินใจกินอาหารเสริม


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *