ส่อง “ร้านอาหารเกาหลีเหนือ” ในต่างประเทศ ไม่มีลูกค้าแต่เงินสะพัด


การที่จะมีร้านอาหารต่างชาติมาตั้งอยู่ในประเทศหนึ่ง ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ในประเทศไทยเองมีทั้งร้านอาหารจีน ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านอาหารเกาหลีใต้ ร้านอาหารสเปน ร้านอาหารอิตาลี ฯลฯ แต่ถ้าบอกว่ามี “ร้านอาหารเกาหลีเหนือ” มาตั้งอยู่ เชื่อว่าคงทำให้หลายคนสงสัยไม่น้อย

ในประเทศไทยไม่มีร้านอาหารเกาหลีเหนือ แต่ในประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง สปป.ลาวมีอยู่ 4 แห่ง หนึ่งในนั้นอยู่ที่ล็อบบี้ของคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในนครเวียงจันทน์ มีชื่อว่า “เพ็กตูฮันนา” (Paektu Hanna)

เกาหลีเหนือเปิดตัว “เรือดำน้ำนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี” ลำแรก

ผู้นำเกาหลีเหนือจ่อเยือนรัสเซียพบ “ปูติน” ถกความร่วมมือทางทหาร

“ทราวิส คิง” ลอบข้ามพรมแดนเกาหลีเหนือ เพื่อหนีการทารุณกรรมในสหรัฐฯ

ครั้งหนึ่งเคยมีร้านอาหารที่ดำเนินการโดยรัฐเกาหลีเหนือประมาณ 130 ร้านในเมืองใหญ่ ๆ ทั่วเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงดูไบและอัมสเตอร์ดัม เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลีเหนือ แต่ปัจจุบัน เหลืออยู่เพียงประมาณ 17 แห่งเท่านั้นในเอเชีย โดยอยู่ในจีน รัสเซีย ลาว และเวียดนาม

ร้านอาหารเหล่านี้เคยสร้างรายได้ให้กับระบอบการปกครองของเกาหลีเหนืออย่างสม่ำเสมอ แต่ยุครุ่งเรืองของร้านเหล่านี้ได้ผ่านเลยมานานแล้ว สำนักข่าวอัลจาซีราได้ส่งคนไปเยือนร้านเพ็กตูฮันนา 2 ครั้งในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และพบว่า มีผู้มารับประทานอาหารเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

กระนั้น แม้จะมีลูกค้าน้อย แต่ร้านอาหารเกาหลีเหนือเหล่านี้ยังคงเปิดกิจการอยู่ได้ด้วย “เงินทุนผิดกฎหมายที่เกิดจากอาชญากรรมในโลกไซเบอร์” ซึ่งที่ผ่านมามีรายงานว่า เกาหลีเหนือก่อเหตุอาชญากรรมไซเบอร์หลายครั้ง แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด

มีรายงานว่า ปัจจุบัน มี “พนักงานไอที” ของเกาหลีเหนือประจำการอยู่ในจีน รัสเซีย และลาว ผู้เชี่ยวชาญบอกกับอัลจาซีราว่า เงินทุนผิดกฎหมายที่เกิดจากอาชญากรรมในโลกไซเบอร์เป็นท่อน้ำเลี้ยงหลักของเกาหลีเหนือในขณะนี้ และร้านอาหารต่าง ๆ ในต่างประเทศมีบทบาทสนับสนุนที่สำคัญในกระบวนการนี้

โจชัว สแตนตัน ทนายความในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ผู้ช่วยร่างพระราชบัญญัติคว่ำบาตรและการปรับปรุงนโยบายเกาหลีเหนือปี 2016 ของสหรัฐฯ บอกกับอัลจาซีราว่า “ข้อสันนิษฐานอันดับหนึ่งของผมคือ ร้านอาหารต่าง ๆ อยู่ที่ต่างประเทศเพื่อฟอกเงินเท่านั้น … และแหล่งเงินที่ดีที่สุดแหล่งหนึ่งที่พวกเขาจะได้รับคือจากพนักงานไอทีเหล่านั้นในลาว มันดูสมเหตุสมผลดี”

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2017 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) มีมติเป็นเอกฉันท์รับรองมาตรการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือเพื่อตอบโต้การปล่อยขีปนาวุธข้ามทวีป มติคณะมนตรีความมั่นคงฯ ยังจำกัดการค้าระหว่างเกาหลีเหนือและรัฐสมาชิกของสหประชาชาติอีกด้วย รวมถึงเรียกร้องให้ปิดธุรกิจของเกาหลีเหนือและส่งแรงงานหรือพนักงานทั้งหมดกลับประเทศภายในเดือนธันวาคม 2019

แต่จีนและรัสเซีย ซึ่งเป็นสมาชิกถาวรของ UNSC ได้ปฏิเสธที่จะทำตามมติดังกล่าว โดยจีนนั้นมีรายงานว่าจ้างชาวเกาหลีเหนือมากถึง 100,000 คนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ส่วนรัสเซียถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในข้อตกลงด้านอาวุธกับเกาหลีเหนือ และรับแรงงานชาวเกาหลีเหนือ 3,000-4,000 คนมาทำงาน ในจำนวนนี้บางส่วนเป็นพนักงานไอทีและคนงานก่อสร้าง

ส่วนรัฐบาลลาวนั้นได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามมาตรการคว่ำบาตร โดยกล่าวในเดือนเมษายน 2018 ในรายงานการดำเนินการของสหประชาชาติว่า ลาวไม่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับเกาหลีเหนือ และการอนุญาตให้แรงงานชาวเกาหลีเหนืออยู่ในประเทศจะหมดอายุภายในสิ้นปี 2018 และจะไม่มีการต่ออายุ” โดย ณ ปลายปี 2022 มีข้อมูลว่า แรงงานเกาหลีเหนือในลาวมีจำนวนไม่มากนัก อยู่ที่ 100-200 คน

แต่ในเดือนมีนาคม 2020 มีคนสามารถถ่ายภาพขณะเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศลาวและคณะผู้แทนเกาหลีเหนือร้องเพลงด้วยกันอยู่ที่ร้านอาหารเพ็กตูฮันนา เพื่อเฉลิมฉลองการลงนาม “ข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือ” ฉบับหนึ่ง

สำหรับร้านอาหารที่มีลูกค้าน้อยอาจดูเหมือนเป็นความล้มเหลวทางธุรกิจ แต่ เรมโก เบรอเกอร์ ศาสตราจารย์ด้านเกาหลีศึกษาที่มหาวิทยาลัยไลเดนในเนเธอร์แลนด์ ซึ่งศึกษาการบังคับใช้แรงงานเกาหลีเหนือในยุโรป กล่าวว่า ในขณะที่ไม่มีลูกค้า แต่ “ร้านอาหารเหล่านี้เป็นมากกว่าร้านอาหารเสมอ”

เขาบอกว่า “ลับหลัง มีร้านอาหารทำหน้าที่เป็นฐานในการดูแลแรงงานต่างด้าวชาวเกาหลีเหนือ พวกเขาเป็นสถานที่สำหรับสะสมหนังสือเดินทางและเก็บเงิน ร้านอาหารเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในแง่นั้น”

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ มีรายงานพบเห็นพนักงานไอทีของเกาหลีเหนือประจำการอยู่ในประเทศจีน รัสเซีย และลาวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเชื่อมโยงกับการแฮกข้อมูล กระจายมัลแวร์ และการขโมยสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งรายได้ที่ได้รับจะถูกส่งกลับคืนสู่รัฐบาลเกาหลีเหนือ

ในปี 2022 คณะผู้เชี่ยวชาญแห่งสหประชาชาติได้รายงานกรณีของ โอ ชองซอง ชาวเกาหลีเหนือซึ่งอาศัยอยู่ในดูไบ พร้อมด้วยพนักงานไอทีชาวเกาหลีเหนืออีกจำนวนหนึ่ง โดยได้ปกปิดตัวตนไว้ ต่มาตัวตนที่แท้จริงถูกเปิดเผยในเดือนธันวาคม 2021 พวกเขาหนีไปลาวโดยเกรงว่าทางการสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะสอบสวนและเอาผิด

ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ ได้คว่ำบาตรหน่วยงาน 6 แห่งและบุคคล 7 ราย ที่มีส่วนในการส่งพนักงานไอทีของเกาหลีเหนือไปยังจีน รัสเซีย และลาว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อก่อาชญากรรมทางไซเบอร์ที่เป็นอันตราย

กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประเมินว่า พนักงานไอทีของเกาหลีเหนือแต่ละคน สามารถสร้างรายได้ “มากกว่า 300,000 ดอลลาร์ (ราว 10.6 ล้านบาท) ต่อปีต่อคน” ซึ่งรายได้เหล่านี้ ถูกนำไปสนับสนุนโครงการพัฒนาขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ

สแตนตันกล่าวว่า พนักงานไอทีในลาวจะสร้างรายได้ผ่านการ แฮก ขโมยสกุลเงินดิจิทัล และฝังมัลแวร์ ซึ่งรายได้ที่ได้รับนั้น จะต้องนำไปผ่านเครือข่ายการฟอกเงินที่ซับซ้อนของเกาหลีเหนือ ซึ่งมีร้านอาหารในประเทศลาวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ

Chainalysis บริษัทบล็อกเชนในสหรัฐฯ กล่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่า อาชญากรไซเบอร์เกาหลีเหนือเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยแฮกเกอร์ที่เชื่อมโยงกับเกาหลีเหนือทำลายสถิติการขโมยสกุลเงินดิจิทัล โดยส่วนใหญ่ของการขโมยเงินดิจิทัลในปี 2022 นั้น เชื่อว่าเป้นฝีมือเกาหลีเหนือ ขโมยไปกว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (6 หมื่นล้านบาท)

เรียบเรียงจาก Al Jazeera

ภาพจาก Chandan KHANNA / AFP

TOP ต่างประเทศ

วิดีโอยอดนิยม

เรื่องที่คุณอาจพลาด


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *